Warning: Undefined array key "action" in /var/www/wp-content/themes/kicker-child/functions.php on line 2
Knowledge | motherandcare - Part 19
Skip to content Skip to sidebar Skip to footer

Knowledge

ลูกร้องทีไรอุ้มทุกทีจะติดมือมั้ย ?

คุณแม่มือใหม่มักจะถามกันบ่อย ๆ ว่าเวลาลูกร้องแล้วควรอุ้มไหม อุ้มแล้วจะติดมือหรือเปล่า คุณแม่ทายซิคะว่าน่าจะเป็นแบบไหน สำหรับเด็กทารกวัยแรกเกินจนถึงประมาณ 6 เดือน โลกภายนอกยังเป็นสถานที่แปลกใหม่ไม่คุ้นเคย เขารู้สึกไม่ปลอดภัย เพราะฉะนั้นเวลาทารกร้องไห้คุณแม่ควรอุ้มเขา ไม่ควรทิ้งให้ลูกร้องอยู่นานเกินไป พอลูกโตขึ้นมาอีกหน่อย แน่นอนว่าลูกจะค่อย ๆ เรียนรู้ว่าเวลาเขาร้องคุณแม่จะมาอุ้ม คุณแม่ลองสังเกตดูสักนิดว่าลูกร้องเพราะเหตุผลใด ตรวจดูที่นอนอาจมีมดแมลงมากัดหรือเจ็บป่วยไม่สบายตัว รอดูว่าเขาร้องไปสักครู่แล้วหยุดเองมั้ย อาจแค่เรียกร้องความสนใจนิด ๆ หน่อย ๆ เท่านั้นเอง เสียงร้องก็ดูปกติไม่ใช่กรีดร้องอย่างตกใจหรือเจ็บปวด อย่างนี้อาจไม่ต้องรีบเข้าไปอุ้มทุกครั้งค่ะ คุณแม่อาจจะพูดกับเขาว่ารอเดี๋ยวนะคะ เดี๋ยวแม่ไปหา แต่ถ้าลูกไม่หยุดร้องเองหรือตะเบ็งเสียงดังกว่าเดิม เข้าไปอุ้มเขาเถอะค่ะ พูดคุยปลอบโยนให้อารมณ์ดี พอสบายใจแล้วก็เงียบเสียงลง เมื่อลูกรู้สึกอบอุ่นปลอดภัยก็จะเรียกร้องความสนใจน้อยลงโยเยน้อยลงไปด้วย

Read more

ใส่ใจกิจวัตรประจำวันช่วยลูกฉลาดได้จริงหรือ ?

ลูกวัยทารกก็จะมีอยู่ไม่กี่อย่างที่คุณแม่ทุกคนต้องดูแลอย่างใกล้ชิด นั่น็คือกิจวัตรประจำวันค่ะ คุณแม่คอยดูแลเขาตั้งแต่เช้าไปจนถึงตอนกลางคืน ลูกตื่นมาก็ให้นม อาบน้ำ แต่งตัวให้เขา ทำความสะอาดเช็ดอึฉี่ พาเขาเข้านอน การที่คุณแม่สามารถดูแลเขาและตอบสนองความต้องการของลูกวัยทารกได้ในยามที่ลูกต้องการ เมื่อลูกหิวก็ให้กินนม ง่วงก็พาเขานอน เวลาลูกอึหรือฉี่เราดูแลเช็ดล้างทำความสะอาดก้น ให้ลูกนอนในที่แห้งสบายไม่เปียกแฉะ ต้องการให้มีคนอยู่ใกล้ ๆ พูดคุย เล่นกับเขา หรือเมื่อลูกเหงาเบื่อหรือดูอารมณ์ไม่ดีก็ปลอบโยนให้เขาสบายใจ ทั้งหมดนี้คือการตอบสนองอย่างทันท่วงที ! ความสุขของลูกในวัยทารกมีแค่นี้ ไม่ซับซ้อนเลยค่ะ การดูแลลูกอย่างใกล้ชิดให้ลูกได้รับสิ่งเหล่านี้ จะทำให้เด็กมีความสุขรู้สึกอบอุ่นปลอดภัยและ ช่วยสร้างความมั่นคงในจิตใจให้กับเด็ก สมองของเด็กที่มีความสุขจะพร้อมเปิดรับการเรียนรู้โลกรอบตัวค่ะ การดูแลลูกอย่างใกล้ชิดให้ลูกได้รับในในสิ่งที่ทารกต้องการจะช่วยให้สมองของเด็กในวัยนี้ได้โอกาสเรียนรู้ทั้งทางด้านความสัมพันธ์ เรียนรู้ทักษะทางสังคม การทำความเข้าใจโลกรอบตัว และยังได้ซึมซับด้านภาษาอีกด้วย

Read more

สิ่งแวดล้อมปลอดภัยช่วยลูกฉลาดได้อย่างไร ?

การดูแลลูกให้อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัยจะช่วยสร้างความฉลาดให้ลูกได้ค่ะ เพราะสมองของลูกพร้อมเปิดรับการเรียนรู้ ถ้าลูกรู้สึกไม่ปลอดภัยจะเกิดความกลัว สมองไม่พร้อมเรียนรู้ ความเครียดกังวล ประสบการณ์ด้านลบ การเจ็บตัวหรือบาดเจ็บบ่อย ทำให้ทารกไม่สามารถไว้วางใจในสิ่งแวดล้อมรอบตัว การเรียนรู้ก็จะมีอุปสรรคขัดขวาง เช่นเดียวกับผู้ใหญ่เวลาเกิดความกลัวหรือกังวลสมองก็จะไม่เกิดการเรียนรู้เพราะถูกนำไปใช้เพื่อการปกป้องตัวเองให้ปลอดภัยก่อน เมื่อรู้สึกปลอดภัยทารกก็จะมีความสุข เมื่อมีความสุขแล้วสมองของลูกจะเปิดรับการเรียนรู้ง่าย สติปัญญาความเฉลียวฉลาดของลูกจึงพัฒนาได้ดีค่ะ ความสุขของทารกค่อนข้างเรียบง่าย ได้กินอิ่มได้นอนหลับสบาย สบายตัวไม่เปียกแฉะอยู่กับอึฉี่นาน ๆ ได้รับความรักความอบอุ่น ไม่มีอะไรมารบกวนให้เขารู้สึกไม่สบายตัวไม่สบายใจ รวมทั้งความปลอดภัยด้วยค่ะ

Read more

คุยกับลูกวัยทารกได้ประโยชน์มากจริงหรือ ?

การสร้างสิ่งแวดล้อมเพื่อเสริมสร้างความฉลาดให้ลูกทำได้ง่ายมาก ๆ ค่ะคุณแม่ มาดูกันว่ามีอะไรบ้าง 1.อยู่ในที่ที่อากาศสบาย ๆ ไม่ร้อนไม่หนาวเย็นจนเกินไป แสงแดดหรือแสงสว่างไม่แยงตาไม่จ้าเข้าตาลูก และไม่มืดสลัวตลอดเวลาค่ะ 2.ความเงียบสงบ โดยเฉพาะเวลานอนหลับ พยายามอย่าให้ลูกอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีมีเสียงรบกวนหรือเสียงดังมาก ให้สงบ ผ่อนคลาย ถ้าอยากเปิดเพลงเลือกเพลงท่วงทำนองฟังเบาสบายสำหรับเด็ก 3.ไม่มีมดแมลงหรือสัตว์มากัด มีที่กั้นไม่ตกเตียง ตรวจดูความปลอดภัยของเตียงนอนลูกและห้องนอนว่ามีสิ่งไหนจะเป็นอันตรายกับลูก 4.เลี่ยงสิ่งที่ลูกกลัว เช่น คนแปลกหน้า ถ้าเขาไม่อยากให้อุ้มอย่าฝืนใจ ดูแลลูกใกล้ชิด อย่าฝากเขาไว้กับคนที่เขาไม่คุ้นเคย แม้จะชั่วคราว 5.พยายามเลี่ยงการทำเสียงดัง หรือเสียงที่น่าตกใจ เวลามีฟ้าร้องฟ้าผ่า อุ้มกอดเขาไว้ ไม่เปิดเพลงหรือดูโทรทัศน์เสียงดัง เลี่ยงการทะเลาะกันเสียงดังหรือมีความรุนแรงให้ลูกรับรู้ 6.ดูความปลอดภัยในบริเวณบ้าน ถึงวัยคลานต้องมีประตูกั้นส่วนที่เป็นอันตรายยังระเบียง ครัว บันได บ่อน้ำหรือประตูออกนอกบ้าน ดูด้วยว่าปิดเรียบร้อยดีหรือยัง 7.สภาพแวดล้อมภายในบ้าน เช่น เก็บของชิ้นเล็ก ๆ ให้พ้นมือ ป้องกันการนำเข้าปากหรือจมูก เก็บสารเคมีหรือสิ่งของอันตรายต่าง ๆ ระวังเรื่องปลั๊กไฟ ทำความสะอาดบ้านให้เรียบร้อยป้องกันสัตว์ร้ายเข้ามาอยู่อาศัย เลือกเฟอร์นิเจอร์ที่ไม่ล้มคว่ำง่ายง่าย เก้าอี้โยกอาจทับมือเด็กได้ควรยกออกไป หาอุปกรณ์กันขอบโต๊ะมุมโต๊ะต่าง ๆ

Read more

7 เคล็ดลับเลี้ยงลูกให้แข็งแรงเติบโตสมวัย

คุณแม่หลายคนบ่นว่าทำไมลูกโตช้า แน่นอนว่าส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะมีปัญหาสุขภาพต้องปรึกษาคุณหมอเพื่อขอคำแนะนำ แต่โดยทั่วไปแล้วการให้ลูกได้มีโอกาสเล่นซนตามวัยจะช่วยให้เด็กมีพัฒนาทางร่างกายที่ดี โตเร็วและสุขภาพแข็งแรง มีเคล็ดลับดี ๆ มาฝากค่ะ 1.คุณพ่อคุณแม่เป็นตัวอย่างที่ดี ไม่ก้มหน้าเล่นมือถือหรือดูแท็บเล็ตอยู่ตลอดเวลาที่อยู่กับลูก เด็ก ๆ จำและเลียนแบบง่ายมากค่ะ 2.พาลูกออกไปเล่นนอกบ้าน เช่น ชวนขี่จักรยานในหมู่บ้าน พาลูกไปว่ายน้ำ พาไปเล่นกีฬา หรือเข้ายิมเด็ก ชวนวิ่งเล่นไล่จับ เล่นบอล เลือกในสิ่งที่ลูกชอบลูกจะทำโดยไม่ต้องบังคับ 3.ชวนลูกทำงานบ้าน ในแบบที่ได้ใช้แรง เช่น ช่วยกันล้างรถ ช่วยรดน้ำต้นไม้ ชวนกันปลูกต้นไม้ เช็ดโต๊ะเก้าอี้ งานบ้านเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่าที่ลูกจะทำได้ สร้างบรรยากาศให้สนุกสนาน ระหว่างที่ลูกทำงานบ้านจะเป็นการใช้กล้ามเนื้อมือซื่งเป็นกล้ามเนื้อมัดเล็กและกล้ามเนื้อมัดใหญ่อย่างแขนขาไปด้วย 4.ฝึกการทรงตัวให้ลูกด้วยการเล่นเกม เช่นใช้ชอล์กขีดบนพื้นนอกบ้านเป็นเส้นให้ลูกเดิน วาดเป็นเส้นตรง โค้ง วกวน เลี้ยวบ้าง หรือชวนลูกเล่นเกมตั้งแต วาดตารางบนพื้นให้ลูกกระโดดตามตารางตามกติกา 5.ชวนลูกเล่นลูกโป่งฟองสบู่ คุณพ่อคุณแม่อาจเป็นคนเป่าฟองให้ลูกวิ่งไล่จับในสนามหญ้า หรือให้เขาเป่าเองบ้างสลับกัน เน้นความสนุกสนานเพื่อให้ลูกได้วิ่งออกกำลังกาย 6.ควรให้ลูกได้อย่างเต็มที่ภายในขอบเขต เช่น บริเวณไหนเล่นได้ บริเวณไหนเล่นไม่ได้…

Read more

พาไปจ่ายตลาดเสริมการเรียนรู้ให้ลูกได้อย่างไร ?

คุณแม่ทราบไหมคะว่าการที่เด็กจะเรียนรู้ได้ดีที่สุดนั้นทางหนึ่งก็คือให้เขาได้เรียนรู้จากประสบการณ์โดยตรงได้เล่นเองได้ลองเองด้วยทำเองบวกกับการที่เขาซึมซับไปจากคุณแม่นั่นเอง การให้เขาได้ทำกิจกรรมแปลกใหม่ใกล้บ้าน ไม่จำเป็นต้องเป็นกิจกรรมพิเศษหรือไกลบ้านมาก ก็สามารถกระตุ้นการเรียนรู้ให้ลูกได้ เพราะฉะนั้นคราวนี้เราจะพาลูกไปจ่ายตลาดกันค่ะ คุยกับเขาและสร้างบรรยากาศสนุกสนานช่วยได้ คุณแม่อาจเกริ่นกับเขาก่อนก็ได้ค่ะในตลาดมีอะไรบ้าง กับข้าวที่คุณแม่ทำหรือซื้อมาหลายอย่างก็มาจากการซื้อวัตถุดิบมาจากตลาดนี่ละ สอนลูกให้รู้จักวางแผน หลังจากบอกลูกแล้วว่าพรุ่งนี้เราจะไปตลาดกันก่อนหน้านั้น 1 วันคุณแม่อาจถามลูกว่าเราจะกินอะไรกันดี ให้เขาคิดเมนูที่เขาชอบ ให้มีส่วนร่วมในการคิดตั้งแต่ต้น คุณแม่อาจจดรายการ ให้ลูกวาดภาพประกอบเพื่อความสนุกสนาน หรืออาจจะชวนคิดวางแผนเช่น ถ้าเขาอยากได้ 5 เมนู คุณแม่อาจคุยกับเขาว่าน่าจะมากเกินไป ขอแค่ 3 เมนู ให้เขาเลือกว่าเขาจะตัดเมนูไหนออกค่ะ สอนเรื่องงบประมาณ การออกไปจ่ายตลาดคุณแม่กำหนดจำนวนเงินโดยประมาณว่าจะใช้ประมาณเท่าไหร่ แล้วก็บอกให้ลูกรู้ว่าเราจะซื้อไม่เกินงบเท่านี้นะ สอนให้ลูกรู้ว่าเงินทองมีจำกัดจำเป็นต้องใช้อย่างเหมาะสม แต่ละครั้งที่ไปซื้อขอฃจึงต้องตั้งงบขึ้นมา อธิบายให้ลูกฟังง่าย ๆ ไม่ต้องซับซ้อน ในตลาดมีสิ่งน่าเรียนรู้มากมาย ลูกจะได้ทำความรู้จักกับผักผลไม้เนื้อสัตว์และเครื่องปรุงต่างๆ ไม่ต้องให้เป็นวิชาการค่ะ พาเขาไปเลือกซื้ออาจจะบอกบางอย่างว่าสิ่งที่คุณแม่ซื้อคืออะไร ชวนคุยและลูกสนใจอะไรเป็นพิเศษบ้างไหม อาจจะพูดถึงผักหรือผลไม้ชนิดนั้น ระหว่างที่คุณแม่ซักถามราคากับแม่ค้าก็หันมาพูดคุยกับลูกได้ เช่น อันนี้ราคาเท่านี้นะคะ อาจชวนลูกนับเงินทอน หรือให้ลูกเปรียบเทียบดูว่าผลไม้ลูกไหนที่ดูน่ากินกว่ากัน กิจกรรมต่อท้าย คุณแม่ชวนลูกเป็นลูกมือทำกับข้าว ล้างผัก เด็ดผัก จัดผักผลไม้ใส่จาน ชมเขาซะหน่อยว่าผักหรือผลไม้ที่เขาช่วยเลือกสดน่ารับประทานเป็นการสร้างความภาคภูมิใจให้กับเขา หรืออาจจะชวนเขาวาดรูปผักผลไม้ที่เขาชอบ ให้ลูกรู้สึกว่าเป็นเกมอย่างหนึ่งที่เขาอยากเล่น…

Read more

7 เคล็ดลับแก้ปัญหาลูกอมข้าว

คุณแม่หลายคนเจอปัญหาลูกอมข้าว ส่วนใหญ่อมเสร็จคายทิ้ง ทำบ่อยอาจขาดอาหาร คุณแม่อย่าเพิ่งกังวลใจปัญหานี้มีทางแก้ค่ะ 1.ปรับอาหารให้เหมาะกับวัย ช่วงเริ่มกินอาหารใหม่ ๆ นอกจากนมคุณแม่บดอาหารละเอียดก่อน ต่อมาค่อยปรับเป็นอาหารชิ้นใหญ่ขึ้น จากบดละเอียดเป็นสับหยาบและหั่นชิ้นเล็ก ลูกมีฟันขึ้นแล้วอย่าให้แต่อาหารบดละเอียดอีก ถ้าลูกไม่ได้ฝึกเคี้ยวก็จะเคยชินกับการกลืน และอาจติดเป็นิสัยเพราะกินง่าย 2.อย่าให้นมแทนข้าว เวลาลูกอมข้าวคุณแม่อาจกังวลว่าลูกจะไม่โต ให้กินนมแทนดีกว่าไม่ได้กินอะไร นั่นเท่ากับคุณแม่กำลังฝึกให้ลูกกินนมแทนข้าว อย่าเพิ่งใจอ่อนตามใจ ให้ได้บ้างนิดหน่อยแต่อย่ามากจนอิ่ม 3.ไม่เล่นระหว่างกินข้าว ให้ลูกมุ่งความสนใจไปที่การกินอาหาร กินไปเล่นไปเด็กจะสนใจการเล่น เวลาลูกกินทุกคำที่ป้อนโดยไม่รู้ตัวเหมือนจะดี แต่ก็จะลืมเคี้ยว 4.ไม่ให้ดูโทรทัศน์ใช้แทบเล็ตหรือมือถือระหว่างกินข้าว สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้จะดึงดูดความสนใจของลูกออกไปจากการกิน 5.ชวนลูกให้สนใจการกิน อาจจะชวนคุยให้ลูกอารมณ์ดี หรือพูดคุยเกี่ยวกับอาหารเช่น อาจจะถามลูกว่าพรุ่งนี้ลูกอยากกินอะไร ชวนให้เขามีส่วนร่วมในการทำอาหารก็จะช่วยให้เขาสนใจการกิน 6.อย่าใช้เวลานานเกินไป ไม่เกินครึ่งชั่วโมง การพยายามให้ลูกกินหมดชามคุณแม่อาจเข้าใจว่าภารกิจประสบความสำเร็จ แต่ความจริงแล้วทำให้ลูกไม่มีวินัยในการกิน 7.จัดเวลามื้อของว่างให้เหมาะ ระหว่างมื้อ ลูกหิวขึ้นมาขอนมหรือขนมคุณแม่กลัวลูกหิวก็มักจะให้กิน ให้กินได้แต่ไม่ต้องมากจนอิ่มเกินไป และไม่ควรให้กินใกล้เวลาอาหาร ถ้าลูกอมข้าวน้อยลงอย่าลืมชมนะคะ เขาจะได้มีกำลังใจและรู้สึกภูมิใจค่ะ

Read more

7 วิธีแก้ปัญหาลูกทะเลาะกัน

ปัญหาลูกชอบทะเลาะกันมีวิธีแก้ไขหลายวิธีค่ะ คุณแม่สามารถทำได้ เพียงแต่ต้องใจเย็นค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไปค่ะ 1.ใช้ความยุติธรรม อย่าอคติกับลูก และเมื่อสอนให้พี่เสียสละให้น้องก็ต้องสอนให้น้องรู้จักเสียสละให้พี่เช่นกัน 2.อย่าถามหาคนผิด หรือรีบตัดสินว่าพี่หรือน้องผิดอยู่เสมอ การหาคนผิดทำให้ลูกไม่ยอมรับว่าตัวเองผิด อาจตั้งกติกาในบ้าน เช่น กำหนดไปเลยว่าของเล่นไหนเป็นของรักของหวงของแต่ละคน มีสิทธิ์ไม่ให้เล่น หรือเก็บให้ดี ต้องเคารพขอบเขตซึ่งกันและกัน 3.บอกให้ลูกรู้ว่าแม่มีความสุขเวลาเห็นลูกรักกัน อาจจะพูดตรงจุด เช่น ไม่แย่งของเล่น ไม่แกล้งกัน หรือเมื่อเล่าเรื่องหรือเล่านิทานให้ลูกฟังก็ชื่นชมพฤติกรรมดีของตัวละครในนิทาน 4.เบี่ยงเบนความสนใจ ชวนลูกไปทำอย่างอื่นจนลืมการทะเลาะกัน อาจจะแยกลูกแต่ละออกจากกันให้ไปสงบใจก่อน แต่ไม่ใช่ทอดทิ้งใครคนใดคนหนึ่ง 5.หากิจกรรมที่ทำร่วมกันโดยใช้ความร่วมมือจึงสำเร็จ เลี่ยงการแข่งขัน หรือเปรียบเทียบ ถ้าจะแข่งขันอาจจะให้เขาอยู่ในทีมเดียวกันแล้วมาแข่งขันกับคุณพ่อคุณแม่แทนค่ะ 6.ให้ออกกำลังกายหรือเล่นซนได้เต็มที่ พาลูกเล่นให้ใช้พลังงานหมดไปบ้าง เหนื่อยแล้วก็จะไม่มีแรงเหลือมาทะเลาะกันบ่อยนัก เพราะแต่ละคนอยากพักมากกว่า 7.ชมเชยเวลาลูก ๆ สามัคคีกัน เช่น เวลาคุณพ่อคุณแม่ให้ช่วยทำงานบ้าน หรือช่วยกันเก็บของเล่น เขาช่วยกันทำได้เรียบร้อย ก็ให้ชมทั้งคู่ และอาจให้รางวัลกับลูก ค่อย ๆ ปรับเขาค่ะ ลูกทะเลาะกันน้อยลงรักกันมากขึ้นบรรยากาศบ้านแสนสุขก็จะกลับมาค่ะ

Read more

4 เคล็ดลับฝึกลูกเรื่องกิน

ทำไมจึงต้องใส่ใเรื่องอาหารการกินของลูก นึกถึงคำนี้ค่ะ “กินดีอยู่ดี” เพราะการกินอาหารดีมีประโยชน์ สำคัญต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการที่ดีของเด็ก ขอแนะนำ 4 เคล็ดลับดังนี้ค่ะ ปรุงอาหารรสธรรมชาติแท้ เมื่อเริ่มฝึกลูกกินอาหารให้ลูกได้รับสัมผัสรสธรรมชาติ เช่น รสชาติหวานหอมจากน้ำต้มผักหรือน้ำต้มกระดูก ให้ลูกชินกับรสชาติอ่อน ๆ ตั้งแต่เล็ก ให้ลูกเริ่มลองอาหารรสอ่อนไม่มีกลิ่นฉุน เมื่อเริ่มฝึกลูกรับประทานอาหาร อย่าเริ่มด้วยผักที่มีกลิ่นรสฉุนรุแรง เพราะเด็ก มักจดจำรสชาติอาหารได้ตั้งแต่ครั้งแรก หากอาหารนั้นมีรสไม่น่าภิรมย์ เช่น เผ็ด ขม หรือเหม็นเขียวแล้ว ลูกอาจเกิดความรู้สึกต่อต้านอาหารพวกนั้นไปเลย ให้ลูกนั่งโต๊ะอาหารร่วมกับคนในครอบครัว เมื่อเขาโตพอคุณแม่แบ่งอาหารของผู้ใหญ่ให้ลูกลองด้วย อาจปรุงรสอ่อนไว้ก่อน แล้วค่อยปรุงเพิ่มเมื่อผู้ใหญ่รับประทานเอง ไม่ปรุงอาหารรสจัดให้ลูก ไม่ต้องใส่ซอสปรุงรส น้ำปลา น้ำตาล เครื่องปรุงรส ที่มีรสชาติและกลิ่นแรง อาหารรสจัดทำร้ายลูก การปรุงแต่งอาหารมากไปจะขัดขวางพัฒนาการของประสาทรับรสของลูก อาจทำให้ลูกได้รับโซเดียมสูงเกินไป นำไปสู่โรคความดันโลหิตสูงได้ อาหารรสหวาน นอกจากทำให้เด็กติดรสหวาน ไม่ยอมกินอาหารรสธรรมดาแล้ว ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคอ้วน ฟันผุ และไขมันในเลือดสูงในอนาคต คุณแม่อย่าลืมฝึกเรื่องกินของลูกให้ถูกต้อง ทั้งชนิด ปริมาณ คุณภาพ และรสชาติของอาหารด้วยนะคะ

Read more

ลูกพูดไม่เพราะ.. ?! รวมทริคแก้ไขปัญหาที่หนักใจของพ่อแม่

ลูกพูดไม่เพราะ ? พ่อแม่หลายคนคงจะหนักใจกันมากๆเลยใช่ไหมคะ มันไม่แปลกเลยค่ะที่เด็กเล็กเด็กน้อยเขาจะมีคำพูดที่ไม่เพราะหลุดออกมาจากปากในเวลาที่เขาโมโห หงุดหงิด เกิดมีใครมาขัดใจ เนื่องจากในวัยเด็กย่อมมีการเรียนรู้จากสิ่งรอบตัวได้ไวค่ะ จึงอาศัยการลอกเลียนแบบนี้มาทำ อาจจะเคยได้ยินจากคนรอบข้าง โทรทัศน์ หรืออื่นๆก็ตามแต่ คุณพ่อคุณแม่จะมีวิธีการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ที่เป็นพื้นฐานที่สำคัญของลูกน้อยอย่างไร ไม่ต้องไปหาคำตอบไกลเลยค่ะ เราได้รวบรวมทางออกดีๆให้กับพ่อแม่ไว้ในที่นี้หมดแล้ว J ลูกพูดไม่เพราะ สิ่งที่พ่อแม่ควรทำ คือ ห้ามต่อว่า ต่อคำกลับ หากลูกพูดจาไม่ดี รับรู้ได้อย่างเดียวพอค่ะ ตอบสนองได้แต่ห้ามสวนกลับนะ ห้ามเมินเฉยลูกเมื่อพูดคำหยาบ มันเป็นความจริงค่ะที่ว่าการเพิกเฉยลูกเมื่อพูดคำหยาบจะได้ผล แต่จะได้ผลแค่ระยะแรกๆเท่านั้น แต่ถ้าหากเราปล่อยทิ้งไว้นานเกินไปจะเกิดผลเสียเอาได้เช่นกันค่ะ แนะนำให้ลูกใช้คำอื่นแทนคำนี้ หากลูกไม่ชอบใจอะไรแล้วสบถคำหยาบคายออกมา เราผู้เป็นพ่อแม่ก็แนะนำเขาค่ะ ว่าพูดคำนี้แทนดีกว่านะลูก คนอื่นฟังแล้วดูน่ารักมากกว่านะ เอาใจเขามาใส่ใจเรา ต้องสอนลูกค่ะว่าถ้าลูกโดนคนอื่นพูดคำที่ลูกพูดออกมาแบบนี้บ้างจะรู้สึกอย่างไร เสียใจไหม ถ้าเราไม่ชอบ แล้วคิดว่าคนอื่นจะชอบไหม ? เตือนคนรอบข้าง ครอบครัว ไม่ให้พูดจาไม่ไพเราะ เนื่องจากเด็กมักเรียนรู้และลอกเลียนแบบจากสิ่งรอบตัวค่ะ เราจึงต้องเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับลูก เวลาลูกไปไหนทำตัวน่ารัก เป็นเด็กดี เขาก็จะชมถึงทางบ้านเลยนะคะว่าสอนมาดี แต่ถ้าหากประพฤติไม่ดีละก็อาจจะถูกตำหนิถึงบรรพบุรุษได้เลยค่ะ แฮ่ะๆ หันกลับมามองตัวของพ่อแม่เอง ใช่ค่ะ หากลูกเราพูดจาไม่เพราะ เราต้องย้อนมองกลับมาที่ตัวเองแล้วนะว่าเราได้พูดแบบนี้ต่อหน้าลูกหรือเปล่า ลูกถึงได้จำมาพูด อย่าลืมนะคะว่าคนเป็นพ่อเป็นแม่ใกล้ชิดกับเด็กที่สุดแล้ว ยอมรับผิด หากพ่อแม่เป็นคนพูดจาไม่เพราะให้แก่ลูกเอง พ่อแม่จะต้องรับในข้อผิดพลาดนะคะ หากเป็นคนพูดคำเหล่านั้นออกมาเอง การทำแบบนี้จะทำให้ลูกไว้วางใจเรามากขึ้นด้วยค่ะ และยังมองว่าการรับผิดเป็นสิ่งที่ดีมากกว่าการโกหก สรุป เป็นยังไงกันบ้างคะ ทริคการแก้ไขปัญหาเมื่อลูกพูดไม่เพราะ ไม่ยากเลยใช่ไหม…

Read more