Warning: Undefined array key "action" in /var/www/wp-content/themes/kicker-child/functions.php on line 2
Knowledge | motherandcare - Part 25
Skip to content Skip to sidebar Skip to footer

Knowledge

ดูแลแผลหลังคลอดอย่างไรไม่ติดเชื้อ ?

การดูแลแผลหลังคลอดทั้งแผลคลอดเองและผ่าคลอด คุณแม่ควรใส่ใจเรื่องความสะอาดค่ะเพื่อป้องกันการติดเชื้อ   แผลคลอดธรรมชาติ จะมีอาการปวดแผล 3-4 วัน หรืออย่างมาก 1 สัปดาห์ และจะค่อย ๆ ทุเลาลง มักหายเองภายใน1 สัปดาห์หลังคลอด หากปวดมากสามารถกินยาแก้ปวดลดได้ แต่ถ้าปวดแผลฝีเย็บมาก มีอาการบวมแดง กดแล้วเจ็บอาจเป็นเพราะฝีเย็บอักเสบควรรีบพบคุณหมอทันที ต้องหมั่นดูแลความสะอาดไม่ให้เกิดการติดเชื้อ การทำความสะอาดโดยทั่วไปคือ ทำความสะอาดแผลทุกวัน วันละ 1-2 ครั้งด้วยสบู่หรือใช้น้ำยาฆ่าเชื้ออย่างอ่อนล้างกับน้ำสะอาดจากด้านหน้าไปด้านหลัง เพราะการล้างจากก้นมาด้านหน้า จะนำเชื้อโรคจากทวารหนักมาสู่แผลและช่องคลอด แผลผ่าคลอด ตรวจดูแผลว่า มีการปริแตกไหม ซึ่งคุณหมอจะปิดพลาสเตอร์กันน้ำมาให้ เมื่อครบกำหนดที่คุณหมอนัดก็ควรไปตามนัดเพื่อให้ตรวจแผลว่าเรียบร้อยดีหรือไม่ คำแนะนำ ไม่ว่าคุณแม่จะคลอดด้วยวิธีธรรมชาติหรือผ่าคลอด การดูแลแผลหลังคลอดเป็นสิ่งสำคัญ เน้นเรื่องความสะอาด เพราะหากแผลติดเชื้อจากสิ่งสกปรกจะยิ่งทำให้แผลหายช้ามากขึ้น t

Read more

ดื่มน้ำแค่ไหนอย่างไรช่วยเพิ่มน้ำนมแม่ ?

คุณแม่คงเคยได้รับคำแนะนำมาบ้างว่าให้ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อเพิ่มน้ำนมแม่ แล้วจะต้องดื่มมากแค่ไหนคุณแม่อาจสงสัยใช่มั้ยคะ ตรงนี้มีคำตอบค่ะ 1.ปริมาณน้ำไม่จำเป็นต้องเกินกว่าปกติมากเกินไป การดื่มน้ำเกินความต้องการของร่างกายไปมากจะเป็นผลเสียต่อสุขภาพมากกว่า 2.ดูว่าดื่มน้ำพอเพียงต่อการให้นมลูกได้โดยดูจากปัสสาวะคุณแม่ค่ะ ถ้าเป็นสีเหลืองเข้มขึ้นแสดงว่าร่างกายได้รับน้ำไม่พอเพียงต้องการน้ำเพิ่ม 3.วิธีดื่มน้ำที่เหมาะสมในแต่ละวันไม่ใช่การดื่มคราวละเป็นลิตรๆ แต่ควรดื่มทีละน้อยเป็นระยะเพื่อให้น้ำหล่อเลี้ยงร่างกายตลอดวัน  4.สังเกตตัวเองว่าถ้ารู้สึกกระหายน้ำบ่อยแสดงว่าร่างกายต้องการน้ำเพิ่ม 5.ระวังน้ำพวกผลไม้หรือน้ำหวานสักนิดเพราะจะทำให้คุณแม่น้ำหนักเพิ่ม น้ำเปล่าดีที่สุด 6.น้ำขิง น้ำหัวปลี แกงจืดตำลึง แกงจืดใบกะเพรา แกงเลียงจะช่วยเพิ่มน้ำนมแม่  การกระตุ้นโดยการให้ลูกดูดนมสม่ำเสมอและได้รับสารอาหารครบถ้วนเป็นปัจจัยสำคัญกว่ามุ่งไปที่การดื่มน้ำเพียงอย่างเดียว การดื่มน้ำหลาย ๆ ลิตรไม่ได้ช่วยเพิ่มน้ำนมแม่ แค่ดื่มให้พอเพียงในแต่ละวันก็พอค่ะ

Read more

7 วิธีเตรียมตัวให้พร้อมเมื่อถึงวันคลอด

วันคลอดเป็นวันที่คุณพ่อคุณแม่อาจตื่นเต้นจนอาจลืมบางอย่างหรือทำอะไรไม่ถูก ฉะนั้นการเตรียมตัวล่วงหน้าให้พร้อมไว้เสมอจะช่วยให้ไม่ฉุกละหุกในวันไปคลอดค่ะ สิ่งที่ต้องเตรียมมีดังนี้ 1.จัดกระเป๋าเสื้อผ้าและของใช้จำเป็นแม่และลูกเตรียมไว้ล่วงหน้า 2.ช่วงใกล้คลอดเช็คสภาพรถเติมน้ำมันให้เรียบร้อย 3.เตรียมเบอร์โทรโรงพยาบาล เบอร์โทรฉุกเฉินเผื่อต้องการความช่วยเหลือ หรือเรียกรถพยาบาล เบอร์แท็กซี่หรือแอพ 4.ติดต่อบอกญาติหรือเพื่อนที่อยู่ใกล้ไว้ล่วงหน้า เผื่อติดขัดขอความช่วยเหลือหรือให้ช่วยพาไปโรงพยาบาล 5.พยายามเลือกโรงพยาบาลใกล้บ้าน นึกถึงกรณีเจ็บท้องคลอดในช่วงเวลารถติดไว้ด้วยค่ะ 6.เมื่อมีอาการเตือนว่าจะคลอดแล้ว มีมูกเลือด น้ำคร่ำเดิน เจ็บท้องมากขึ้นและถี่ขึ้น คุณแม่อาจงดน้ำและอาหารเผื่อจำเป็นต้องผ่าคลอดจะได้สะดวกค่ะ 7.เตรียมใจ ฝึกผ่อนคลายและฝึกการหายใจเข้าออกช้า ๆ จะช่วยลดความกังวลในวันคลอดได้ดีค่ะ คุณพ่อก็ฝึกด้วยได้นะคะ การเตรียมพร้อมคุณแม่จะรับมือกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างมีสติและไม่เครียดมากเกินไป เพราะวันนี้จะเป็นวันสำคัญที่คุณแม่รอคอยต้อนรับสมาชิกคนใหม่ในครอบครัวค่ะ

Read more

เจ็บหลอกหรือเจ็บท้องคลอดกันแน่ ?

ในช่วงเดือนสุดท้ายใกล้คลอดคุณแม่เฝ้าระวังและระแวงอยู่ใช่มั้ยคะว่าอาการเจ็บท้องที่เกิดขึ้นเจ็บจริงหรือเจ็บหลอก ก็จะไม่ต้องไปโรงพยาบาลเก้อ หรือเจ็บจริงขึ้นมาก็จะไปโรงพยาบาลทันท่วงที  มาสังเกตอาการกันค่ะจะได้แยกออกว่าอาการเจ็บท้องจริงกับเจ็บหลอกต่างกันยังไงบ้าง เจ็บท้องหลอกหรือเจ็บท้องเตือน 1.ระยะเวลาเจ็บไม่แน่นอน ถี่บ้างห่างบ้าง เจ็บมากบ้างหรือน้อยบ้าง หรือเจ็บติด ๆ กันหลายครั้งแล้วหยุดไป 2.เคลื่อนไหวตัวหรือลุกขึ้นมาเดินก็จะดีขึ้น 3.ไม่มีมูกปนเลือด หรือไม่มีเลือดออกมาจากช่องคลอด 4.เจ็บอยู่ตรงบริเวณท้อง เจ็บท้องคลอดของจริง 1.เจ็บท้องมากขึ้นเรื่อย ๆ เจ็บสม่ำเสมอ เจ็บถี่ขึ้น 2.ท้องแข็งตึง 3.เคลื่อนไหวตัวหรือเดินจะเจ็บมากขึ้น และเจ็บทุก ๆ 10 นาที 4.มีมูกหรือมูกปนเลือดออกมาทางช่องคลอดออกมา ถ้ามีอาการ 4 ข้อหลังข้อใดข้อหนึ่งก็ตาม โทรแจ้งทางโรงพยาบาลแล้วเตรียมตัวเดินทางไปคลอดได้แล้วค่ะ

Read more

6 ข้อควรรู้คลอดเองและผ่าคลอด

คุณแม่มีคำถามอยู่ในใจใช่มั้ยคะว่าจะคลอดเองหรือจะผ่าคลอดดี มีเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับการคลอดมาฝากค่ะ 1.ความปลอดภัย - ถ้าคุณหมอบอกว่าร่างกายคุณแม่ปกติดีไม่มีปัญหา การเลือกคลอดเองจะปลอดภัยกว่าทั้งกับแม่และลูกมากกว่า 2.ฟื้นตัวเร็วกว่า – การคลอดเองฟื้นตัวเร็วกว่าผ่าตัดคลอด 1-2 วันก็เริ่มลุกเดินได้แล้ว มดลูกไม่มีแผลผ่าตัด การผ่าคลอดใช้เวลาประมาณ 1 เดือนกว่าจะฟื้นตัวสู่สภาพปกติ 3.ความเจ็บปวด – การคลอดเองจะเจ็บปวดช่วงใกล้คลอดและขณะคลอด ซึ่งให้ยาลดอาการปวดได้ พอผ่านพ้นการคลอดไปแล้วก็จะไม่เจ็บนานอย่างการเจ็บแผลผ่าตัดคลอด แผลผ่าคลอดใช้เวลาประมาณ 1 เดือนจึงจะหาย 4.ดีต่อลูกมากกว่า – การคลอดเองปอดลูกจะถูกบีบออกเมื่อตัวเด็กผ่านทางช่องคลอดลดปัญหาน้ำคร่ำคั่งค้างในปอด และ ได้รับแบคทีเรียชนิดดีที่เป็นprobioticระหว่างการคลอดกระตุ้นภูมิคุ้มกัน 5.รู้เวลาคลอดแน่นอน – การผ่าคลอดจะรู้วันเวลาแน่นอนเพราะกำหนดได้ การคลอดเองใช้เวลารอนานกว่าจะถึงช่วงการคลอดและกำหนดวันแน่นอนไม่ได้ 6.ความเสี่ยง – คลอดเองอาจเสี่ยงกับภาวะบางอย่าง เช่น ปากมดลูกไม่เปิด หรือเปิดช้า หัวใจเด็กเต้นช้า ฯลฯ ผ่าคลอดเสี่ยงจากดมยาสลบหรือบล็อกหลัง การเลือกคลอดเองหรือผ่าคลอด น่าจะเป็นการเลือกตามความเหมาะสมและความจำเป็น ให้ความสำคัญกับความปลอดภัย น่าจะเป็นเหตุผลที่ช่วยแม่ตัดสินใจได้ดีค่ะ

Read more

ควรเลือกผ่าคลอดเมื่อจำเป็นจริงหรือ ?

คุณแม่ตั้งครรภ์กำลังจะเลือกใช่มั้ยคะว่าจะคลอดเองหรือผ่าคลอดดี ความจริงแล้วการเลือกวิธีไหนน่าจะคำนึงถึงความเหมาะสมและความปลอดภัยเป็นหลักค่ะ ถ้าร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง ฝากครรภ์พบคุณหมอตามนัดคุณหมอบอกว่าคลอดเองได้ การคลอดเองจะเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าและยังเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่าค่ะ การคลอดเองจะดีกับตัวคุณแม่เพราะฟื้นตัวเร็ว ลดโอกาสเสี่ยงอันตรายจากการดมยาและผ่าตัดลงไป และ ยังดีต่อการทำงานของปอดและภูมิคุ้มกันระบบทางเดินอาหารและสำไส้ของลูก WHO หรือองค์การอนามัยโลกรายงานว่าแม่ที่คลอดโดยการผ่าตัดทำคลอดมีความเสี่ยงอันตรายสูงกว่าการคลอดปกติถึง 3 เท่า การผ่าคลอดควรเกิดขึ้นเมื่อไหร่ คุณหมอแนะนำให้ผ่าเพราะภาวะร่างกายคุณแม่มีความจำเป็นต้องผ่าคลอดค่ะ เช่น เด็กตัวโตเกินไป เด็กไม่อยู่ในท่าปกติ แม่อุ้งเชิงกรานเล็ก ปากมดลูกเปิดไม่มากพอ ท้องลูกแฝด รกเกาะต่ำขวางการคลอด แม่มีภาวะแทรกซ้อน เช่น ครรภ์เป็นพิษ รกลอกตัวก่อนกำหนด ติดเชื้อในมดลูก ฯลฯ แม่มีโรคบริเวณช่องคลอด เช่น เริม หูดหงอนไก่ มะเร็งปาดมดลูก ฯลฯ แม่ตกเลือดก่อนคลอด เสียงหัวใจลูกเต้นช้าหรือเร็วกว่าปกติ ปากมดลูกเปิดน้อยหรือเปิดช้า เคยผ่าตัดมดลูกแล้วคุณหมอลงความเห็นว่าควรผ่าคลอด ฯลฯ การผ่าคลอดมีความเสี่ยงหลายประการ การฟื้นตัวและแผลผ่าตัดกว่าจะหายใช้เวลานานกว่ากัน คุณแม่ควรหาข้อมูลรอบด้าน ปรึกษาคุณหมอ เลือกผ่าคลอดเพราะเหตุผลทางการแพทย์และความปลอดภัยเป็นหลักค่ะ

Read more

ท้องวัย 35 ต้องดูแลตัวเองอย่างไร ?

คุณแม่ตั้งครรภ์เมื่ออายุ 35 ปีมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ จึงจำเป็นอย่างยิ่งในการดูแลสุขภาพร่างกายของตัวเองเพื่อแม่และลูก และยังต้องพบคุณหมอตามนัดด้วยนะคะ คุณแม่อาจได้รับการตรวจพิเศษตามคำแนะนำของคุณหมอ เช่น ตรวจอัลตร้าซาวด์ เจาะน้ำคร่ำเพื่อตรวจหาความผิดปกติของทารกในครรภ์ ตรวจชิ้นเนื้อรก เป็นต้น การดูแลสุขภาพให้แข็งแรงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับแม่ทุกวัยรวมทั้งแม่ท้องในวัย 35 ปีขึ้นไป ซึ่งคุณแม่สามารถทำได้ไม่ยากเลยค่ะ 1.พบคุณหมอตามนัดสม่ำเสมอ นอกจากตรวจสุขภาพครรภ์คุณหมอจะให้คำแนะนำรวมทั้งให้วิตามินเสริมที่จำเป็น เช่น กรดโฟลิก 2.รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เหมาะสมทั้งปริมาณและสารอาหารครบ 5 หมู่ 3.เลี่ยงชา กาแฟ เครื่องดื่มที่มีคาแฟอีน เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และบุหรี่ เลี่ยงการอยู่ในบริเวณที่สูบบุหรี่ 4.พยายามควบคุมน้ำหนักตัวไม่ให้อ้วนเกินเกณฑ์มาตรฐาน เพื่อป้องกันโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง 5.ปรึกษาคุณหมอก่อนใช้ยา หรือใช้ยาอยู่ก่อนตั้งครรภ์ก็ควรปรึกษาคุณหมอค่ะ 6.ปรึกษาคุณหมอเรื่องการออกกำลังกายที่เหมาะกับแม่ท้องและออกกำลังกายเป็นประจำ 7.พักผ่อนนอนหลับให้พอเพียง หลีกเลี่ยงความเครียด ถ้าเครียดให้ผ่อนคลายในแบบที่คุณแม่ชอบแต่ต้องไม่เป็นผลเสียต่อสุขภาพ การเอาใจใส่สุขภาพตัวเองจะช่วยให้คุณแม่ตั้งครรภ์คุณภาพอย่างมีความสุขและลดโอกาสเกิดปัญหาด้วยค่ะ

Read more

ธาราบำบัดดีต่อแม่และลูกจริงหรือ ?

น้ำมีคุณประโยชน์หลากหลายรวมทั้งการบำบัดรักษาค่ะ เรามาดูกันว่าในแนวทางของธรรมชาติบำบัดนั้นใช้น้ำเป็นตัวช่วยคุณแม่และลูกอย่างไรกันบ้าง แม่ท้องและหลังคลอด การออกกำลังกายในน้ำช่วยให้จิตใจสดชื่น ลดความวิตกกังวล และอาการไม่สบายเนื้อไม่สบายตัว เช่น เหนื่อยง่าย แน่นอึดอัด นอนหลับไม่ค่อยสนิท เท้าบวม ปวดหลัง เป็นตะคริว น้ำจะช่วยพยุงน้ำหนักตัวลดแรงกดของข้อต่อ ช่วยให้กล้ามเนื้อแข็งแรง คลอดง่ายขึ้น และยังช่วยฟื้นฟูร่างกายหลังคลอดให้กลับสู่สภาพเดิมได้เร็วขึ้น เด็กและทารก เด็กทุกวัยสามารถออกกำลังกายในน้ำได้ การเคลื่อนไหวในน้ำได้อย่างอิสระเด็กจะรู้สึกผ่อนคลาย สบาย เด็กทารกจะรู้สึกคุ้นเคยเพราะสภาพคล้ายอยู่ในท้องแม่  การออกกำลังกายในน้ำยังช่วยเพิ่มพัฒนาการของสมอง ระบบหายใจ ระบบย่อย ช่วยขับลม และยังช่วยเสริมทักษะการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อเพราะเวลาเดินในน้ำจะต้องออกแรงมากกว่าปกติถึง 5 เท่า เด็กพิเศษ เด็กที่มีพัฒนาการช้า เด็กกลุ่มอาการดาวน์ซินโดม ธาราบำบัดจะช่วยเพิ่มพัฒนาการและสติปัญญาของเด็กได้เป็นอย่างดี ส่วนเด็กที่มีปัญหาเกี่ยวกับกล้ามเนื้อ จะช่วยเพิ่มความแข็งแรงและเพิ่มประสิทธิภาพการเคลื่อนไหว ลดอาการเกร็งของแขนและขาได้ การออกกำลังกายในน้ำเด็กสามารถเคลื่อนไหวข้อพร้อม ๆ กันได้หลายทิศทาง ช่วยให้เด็กรู้สึกมั่นใจ การผ่อนคลาย และสร้างความภูมิใจให้แก่ผู้ป่วยเด็กที่สามารถขยับตัวโดยไม่ต้องพึ่งพาใคร มีกำลังใจในการพัฒนาความสามารถให้ดีขึ้น ข้อควรรู้ก่อนการออกกำลังกายในน้ำ ควรอบอุ่นร่างกายประมาณ 5-10 นาทีร่วมกับการยืดเหยียดกล้ามเนื้อก่อนลงน้ำเสมอ ควรใช้เวลาในการออกกำลังกายต่อเนื่องประมาณ 20-30 นาที โดยอาจเริ่มจากการเดินในน้ำตื้น เมื่อชำนาญแล้วจึงออกกำลังกายในน้ำลึกโดยใช้อุปกรณ์พยุงตัวและวิ่งในน้ำลึกได้ ควรออกกำลังกายต่อเนื่องให้ได้เวลารวมมากกว่า 150 นาทีต่อสัปดาห์…

Read more

4 สัญญาณฟ้องแม่เครียด

ความเครียดอาจมาเยือนทุกคนรวมทั้งคุณแม่ตั้งครรภ์ บางครั้งคุณแม่อาจเครียดโดยไม่รู้ตัว ถ้าคุณแม่มีความเครียดมากและเครียดเป็นเวลานานจะส่งผลเสียต่อสุขภาพของทั้งแม่และลูกในท้อง การรู้ตัวจะช่วยให้คุณแม่หาทางแก้ไขได้เร็วก่อนจะเกิดปัญหาค่ะ มาดูกันว่า 4 สัญญาณเตือนว่าคุณแม่เครียดนั้นมีอะไรบ้าง 1.ตัวร้อน ตัวสั่น เหงื่อออก หัวใจเต้นแรง หายใจถี่ อาการตัวร้อนที่ไม่ได้มีสาเหตุจากไข้ จะเกิดขึ้นเมื่อพบเจอกับสถานการณ์ที่ตึงเครียด โดยอุณหภูมิในร่างกายจะเพิ่มขึ้น มีเหงื่อออก ร่างกายสั่นเทา ปากแห้ง กระวนกระวายใจ หัวใจเต้นแรง หายใจถี่ บางท่านอาจปัสสาวะบ่อย ท้องเสีย แน่นหน้าอกค่ะ 2.ผมร่วง น้ำหนักลด นอนไม่หลับ เป็นผลมาจากข้อแรก ที่ร่างกายส่งสัญญาณว่ากำลังเกิดอาการเครียด ถ้าปล่อยทิ้งไว้จะสะสมไปเรื่อยๆ จนส่งผลต่อร่างกายมากขึ้น ทำให้เกิดอาการผมร่วง น้ำหนักลด และนอนไม่หลับตามมา ไม่ควรเพิกเฉยนะคะ 3.ไม่มีสมาธิและขี้ลืม สมองที่มีความเครียดอยู่นั้นจะส่งผลให้ขาดสมาธิ ไม่สามารถจดจ่อกับการทำงาน หรือโฟกัสกับการทำสิ่งต่าง ๆ ตรงหน้า รวมทั้งไม่เปิดรับข้อมูลเพราะกำลังหมกมุ่นอยู่กับความเครียด มักลืมโน่นลืมนี่ แต่ความจริงแล้วไม่ได้เก็บข้อมูลเข้าสมองค่ะ 4.โรคเก่ากำเริบใหม่ แม่ ๆ ที่เคยป่วยเป็นโรคต่าง ๆ เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคหอบหืด…

Read more

แม่ตั้งครรภ์ทำฟันได้มั้ย ?

เพราะแม่ท้องมีสิ่งต้องระวังและข้อห้ามหลายข้อ คุณแม่จึงอดสงสัยไม่ได้ว่าจะทำฟันได้มั้ยระหว่างตั้งครรภ์ เรามีคำตอบค่ะ ช่วงตั้งครรภ์ร่างกายคุณแม่เป็นอย่างไรระดับฮอร์โมนในร่างกายที่สูงกว่าปกติ ส่งผลให้เหงือกอักเสบ บวมแดง เลือดออกง่าย เป็นที่สะสมของเศษอาหาร และคราบจุลินทรีย์ แม่ตั้งครรภ์จึงควรได้รับการขูดหินปูนและขัดฟันจากทันตแพทย์เป็นระยะ เพื่อลดการเกิดเหงือกอักเสบ และส่งเสริมสุขภาพของเหงือกและฟันที่ดี ถ้ามีฟันผุล่ะ ต้องได้รับการรักษาค่ะไม่ว่าจะเป็นการอุดฟัน รักษารากฟัน หรือถอนฟัน เรวมทั้งทำฟันปลอม พื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบดเคี้ยวอาหาร ช่วยให้การย่อยเป็นไปด้วยดี ช่วงที่เหมาะสมคือช่วงตั้งครรภ์ 4 - 6 เดือน การใช้ยาระหว่างทำฟัน ปัจจุบันไม่มีรายงานว่ายาที่ใช้ในการรักษาทางทันตกรรม รวมทั้งการใช้ยาเฉพาะที่มีผลต่อทารกในครรภ์ค่ะ อย่างไรก็ตาม ทันตแพทย์จะใช้ยาชาเฉพาะที่ในปริมาณที่น้อยที่สุดที่จะทำให้ไม่รู้สึกเจ็บระหว่างการรักษา เอ็กซเรย์ฟันปลอดภัยหรือเปล่า การถ่ายภาพรังสีเอ็กซเรย์ระหว่างตั้งครรภ์ โดยปกติมีผลกระทบจากรังสีมีน้อยอยู่แล้ว และการถ่ายภาพรังสีทุกครั้งจะมีเสื้อตะกั่วช่วยป้องกันอวัยวะอื่น ๆ ด้วย สรุปก็คือคุณแม่สามารถเอ็กซเรย์ฟันได้แต่ควรทำให้น้อยที่สุด ร่างกายไม่ได้สูญเสียแคลเซียมจากการทำฟัน แคลเซียมที่ร่างกายต้องการ ได้มาจากสารอาหารที่ร่างกายรับเข้าไปไม่ใช่จากฟัน ถึงแม้ว่าร่างกายได้รับแคลเซียมจากสารอาหารไม่เพียงพอ ก็จะนำแคลเซียมที่สะสมไว้ในกระดูกมาทดแทน ดังนั้นการได้รับสารอาหารที่เพียงพอเหมาะสมจึงจะทำให้ร่างกายได้รับแคลเซียมเพียงพอ คุณหมออาจพิจารณาให้แคลเซียมเสริมเพื่อให้แน่ใจว่าร่างกายได้รับแคลเซียมเพียงพอเป็นราย ๆ ไปค่ะ คำแนะนำสำหรับแม่ท้อง แจ้งทันตแพทย์ให้ทราบว่ากำลังตั้งครรภ์อยู่ ควรกินอาหารให้ถูกต้องตามหลักโภชนาการ แปรงฟันอย่างถูกวิธี…

Read more