Warning: Undefined array key "action" in /var/www/wp-content/themes/kicker-child/functions.php on line 2
Knowledge | motherandcare - Part 10
Skip to content Skip to sidebar Skip to footer

Knowledge

ลูกไม่ยอมนอน ร้องโยเย เอาอยู่หมัดด้วยการฝึกลูกนอน

ลูกไม่ยอมนอน ตกกลางดึกร้องไหงอแงทุกที ยิ่งเป็นพ่อแม่มือใหม่กับลูกเล็กเด็กอ่อนวัยไม่เกิน 3-4 เดือนแล้วเนี้ย ถือเป็นปัญหาเบสิคที่ทุกบ้านต้องพบเจอเลยแหละ แต่อาการมันจะหายไปและพ่อแม่สบายบรื้อเมื่อลูกเริ่มพ้นอายุ 6 เดือนขึ้น แต่การฝึกลูกนอนควรทำแต่เนิ่น ๆ ตอนลูกอายุ 1 กว่า ๆ จนถึง 2 เดือน จะมีวิธีฝึกให้ลูกน้อยนอนยาวตอนกลางคืนเพื่อการพักผ่อนและให้ร่างกายเจริญเติบโตได้ดีจะมีอะไรบ้าง ไปดูกันเลย ลูกไม่ยอมนอน เกิดจากสาเหตุดังนี้ เนื่องจากเด็กทารกนั้นยังไม่มีความสามารถในการแยกแยะเวลากลางวัน กลางคืน พ่อแม่จึงอย่ารำคาญลูกกันเลยว่าตื่นกลางดึกกันบ่อยจัง อีกทั้งยังมีหลายปัจจัยที่ทำให้ลูกเกิดความไม่สบายตัวในการนอนทั้งบรรยากาศห้องนอน เสื้อผ้าที่ลูกสวมใส่ หรือแม้แต่อาการผิดปกติทางร่างกาย รวมไปถึงลูกหิวนม ปวดห้องน้ำอีกด้วย ยิ่งเป็นลูกเล็กอายุไม่ถึง 4 เดือน พ่อแม่ควรทำใจกับการตื่นกลางดึกบ่อย ๆ ไว้ได้เลย ฝึกลูกนอนยาวตอนกลางคืน ง่าย ๆ ด้วย 1.สอนให้ลูกแยกแยะกลางวันและกลางคืน เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกหลับตอนกลางวันมากเกินไป และตื่นมากลางดึกอีก พ่อแม่ควรสร้างสถานการณ์ให้ลูกเห็นอย่างชัดเจนว่าช่วงเวลากลางวันนั้นจะมีแสงสว่าง มีเสียงดัง และความวุ่นวาย แม้แต่ตอนลูกตื่นอยู่หรือหลับอยู่ก็ตาม และพอตกกลางคืนพ่อแม่ก็ทำให้กลางคืนนั้นเงียบ สงบ เพื่อให้ลูกน้อยแยกแยะกลางวันกลางคืนและปรับตัวได้เองในที่สุด หากลูกงอแงพ่อแม่อาจอุ้มขึ้นมาปลอบเพื่อให้ลูกรู้สึกปลอดภัยได้ 2.สร้างบรรยากาศในห้องนอนให้เหมาะสม คุณพ่อคุณแม่ต้องสร้างบรรยากาศในห้องนอนให้เพรียบพร้อม ทั้งการเปิดไฟสลัว ๆ เพื่อป้องกันเวลาลูกงอแงแล้วจะได้ไม่ต้องเปิดไฟสว่างทั่วบ้าน หรือการลดเสียงรบกวนของแอร์ ก็ควรเลือกให้ดี อีกทั้งเสื้อผ้าที่ใส่ต้องสบายลูกใส่แล้วอึดอัด ไม่มีอะไรไปรบกวนและขัดขวางการนอนของเขา พร้อมทั้งเปิดเพลงกล่อมลูกไปช้า ๆ พัฒนาคลื่นสมองของลูกไปในตัว 3.กินอาหารให้อิ่มท้องเพื่อการนอนที่ยาวนาน ลองให้ลูกกินนมสักนิดก่อนนอน ไม่ว่าลูกจะตื่นอยู่หรือหลับไปแล้ว…

Read more

ของใช้เด็ก รู้ไว้ก่อนเผลอใช้ของหมดอายุ

ของใช้เด็ก สิ่งที่พ่อแม่ควรเช็คทุกครั้งก่อนใช้ คือ อายุการใช้งาน เพราะความปลอดภัยของลูกน้อยต้องมาเป็นอันดับแรก หากเผลอใช้ของหมดอายุไปแล้วหล่ะก็ นอกจากคุณภาพจะเสื่อมแล้ว ยังเป็นอันตรายต่อลูก บางชนิดอาจทำให้ต้องไปพบแพทย์กันเลยทีเดียว จะมีของจำเป็นอะไรบ้างที่พ่อแม่ต้องจดวันเวลาเดือนปีในการใช้งาน รีบดูเลย 1.นมแม่ / นมชง มีอายุการใช้งาน 1- 4 ชั่วโมง หากเป็นนมแม่ที่ปั้มไว้ในอุณหภูมิปกติจะสามารถอยู่ได้ 1 ชั่วโมง และถ้าแช่ตู้เย็นจะอยู่ได้นานถึง 4 ชั่วโมง ส่วนนมชงสามารถเก็บทิ้งไว้ 4 ชั่วโมง (ถ้ายังไม่มีใครกิน) แต่ถ้าหากลูกกินแล้วและไม่กินต่อ ควรทิ้งทันทีหลังจากพ้น 1 ชั่วโมง 2.นมผง มีอายุ 1 เดือน (หลังเปิดใช้งานแล้ว) ข้อควรระวังในการเก็บนมผง คือ ความชื้น และน้ำ หากเก็บไม่มิดชิดในที่อับแสงอาจเป็นการลดคุณภาพของนมผงลดได้ด้วย และถ้ามีสีเปลี่ยนไปในทางเหลืองเข้ม รวมไปถึงมีกลิ่นแรง พ่อแม่ควรทิ้งได้แล้ว แถมถ้าเป็นนมผงที่ยังไม่ได้แล้วยังไม่มีอายุแน่ชัดว่าอยู่ได้กี่ปี บางทีก็บอก 18 เดือน หรือปีครึ่ง บางทีก็บอก 10 ปี ทางที่ดีพ่อแม่ควรเช็คก่อนชงให้ลูกดื่มทุกครั้ง 3.อาหารเสริม มีอายุ 2 วัน…

Read more

คลอดก่อนกำหนด เรื่องที่คุณแม่ต้องทำความเข้าใจและรับมือ

         คลอดก่อนกำหนด ตั้งแต่ที่คุณพ่อคุณแม่ทราบว่าตัวเองกำลังจะมีลูกนั้น ทุกคนคงตั้งหน้าตั้งตารอเพื่อที่จะเจอหน้าลูกๆ อย่างใจจดใจจ่อ เรียกได้ว่านับวันรอกันเลยทีเดียว โดยที่หวังอย่างยิ่งว่าลูกจะมีร่างกายสมบูรณ์ แข็งแรง และคงไม่มีใครอยากเห็นลูกของเราคลอดออกมาก่อนกำหนดหรอกค่ะ แต่หากเหตุการณ์ดังกล่าวได้เกิดขึ้นแล้วเราก็ต้องเตรียมรับมือกับลูกน้อยที่คลอดก่อนกำหนด เพื่อการเลี้ยงดูลูกให้มีประสิทธิภาพ และมาเช็คกันว่าการกระทำแบบไหนที่เสี่ยงจะทำให้คลอดลูกก่อนกำหนด คลอดก่อนกำหนด เกิดจากสาเหตุอะไร โดยปกติแล้วคุณแม่จะอุ้มท้องประมาณ 38-42 สัปดาห์ นี่ถือเป็นระยะการคลอดตามกำหนด ดังนั้นภาวะการคลอดก่อนกำหนด คือการที่ทารกคลอดก่อนมีอายุครบ 37 สัปดาห์ หรือคลอดก่อนกำหนดมากกว่า 2 สัปดาห์ ซึ่งอวัยวะภายในยังเติบโตไม่สมบูรณ์ ทำให้ทารกที่คลอดมามีน้ำหนักตัวน้อย และเมื่อคลอดออกมาแล้วจึงต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษจนกว่าอวัยวะภายในจะสมบูรณ์รวมไปถึงสุขภาพของทารกที่แข็งแรงขึ้นด้วย ภาวะการคลอดก่อนกำหนดมีอยู่ 2 สาเหตุหลักๆคือ 1 สาเหตุจากตัวแม่เอง - คุณแม่อาจมีโรคประจำตัว เช่น โรคภูมิแพ้ โรคที่เกี่ยวกับหัวใจ ปอด ตับ หรือโรคเบาหวาน - คุณแม่มีอายุต่ำกว่า 17 ปี ขณะตั้งครรภ์ หรือมีอายุเกินกว่า 35 ปี ขณะตั้งครรภ์ - ระหว่างตั้งครรภ์นั้นคุณแม่ดื่มแอลกอฮอล์ หรือสูบบุหรี่ รวมไปถึงการใช้สารเสพติด - ระหว่างตั้งครรภ์ทำงานหนักและมีอาการเครียดมากเกินไป  ซึ่งมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมีในร่างกาย ทำให้กล้ามเนื้อมดลูกหดรัดตัว ซึ่งที่กล่าวมานี้เป็นเพียงภาวะเสี่ยงที่ทำให้เกิดการคลอดก่อนกำหนด อาจไม่ได้เป็นสาเหตุที่ทำให้คลอดก่อนกำหนดทั้งหมด ทั้งนี้หากคุณแม่ที่ตั้งครรภ์รู้ตัวว่ามีปัญหาสุขภาพหรืออยู่ในกลุ่มที่มีปัจจัยเสี่ยงข้างต้น ควรงดหรือเลิกทำกิจกรรมที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนด สาเหตุจากตัวทารก คือ มีอาการติดเชื้อตั้งแต่อยู่ในครรภ์ หรือมีความพิการมาตั้งแต่กำเนิด และอาจเกี่ยวข้องกับโรคทางพันธุกรรมบางชนิดจึงทำให้เป็นปัจจัยในการคลอดก่อนกำหนด ปัญหาที่พบบ่อยเมื่อลูกน้อยคลอดก่อนกำหนด น้ำหนักตัวน้อยกว่าเกณฑ์ แพทย์จึงต้องดูแลเป็นพิเศษโดยการให้อาหารผ่านสายยาง และให้กินนมแม่เพื่อช่วยส่งเสริมพัฒนาการของทารก…

Read more

เลี้ยงลูก ตามความเชื่อโบราณดีจริงไหม?

เลี้ยงลูก หลายครอบครัวน่าจะประสบกับปัญหาที่ว่า “เชื่อแม่สิ แม่เคยเลี้ยงลูกมาก่อน” หรืออาจจะเป็นประโยคเบสิคที่ว่า “แม่อาบน้ำร้อนมาก่อน” คำพูดเหล่านี้จะถูกพูดขึ้นเมื่อครอบครัวของคุณได้ให้กำเนิดลูกตัวน้อยๆให้คุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยาย ชื่นใจ และพวกเขาต้องการเลี้ยงหลานๆของเขาตามแบบฉบับของตัวเอง แต่ด้วยความที่เราเป็นคุณพ่อคุณแม่สมัยใหม่ การเลี้ยงดูลูกจึงไม่เหมือนกับสมัยของพ่อแม่ เราเลยพยายามหลีกเลี่ยงการกระทำบางอย่างที่เขาพร่ำบอกกันว่าทำกันมาตั้งแต่โบราณ เพราะความเชื่อที่มีมาแต่โบราณเกี่ยวกับสุขภาพหรือร่างกายของทารก อาจมีบางสิ่งที่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิด และอาจถึงขั้นที่เกิดอันตรายแก่ทารกได้ แต่ในวันนี้จะมานำเสนอให้ดูว่าความเชื่อเรื่องการเลี้ยงลูกในสมัยโบราณสามารถนำมาใช้เลี้ยงลูกในปัจจุบันได้หรือไม่ อย่างไร ทาดอกอัญชันที่ผมและคิ้ว เพื่อให้ดกดำและเงางาม ในดอกอัญชัญ มีสารที่ชื่อว่า แอนโทไซยานิน ซึ่งสารตัวนี้จะไปกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ทำให้เลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ได้ดี คนโบราณจึงนำมาทาที่ผมและคิ้ว โดยที่เชื่อว่าจะทำให้ผมกับคิ้วจะดกและมีสีดำเงางาม ความเชื่อนี้ไม่เป็นอันตรายกับทารก แต่อาจก่อให้เกิดผื่นแพ้กับผิวที่บอบบางของทารกได้ ทานกล้วยบดเป็นอาหารเสริม เพราะอยู่ท้องเคี้ยวง่าย ทุกคนล้วนแล้วแต่เคยกินกล้วยบดมาก่อน ซึ่งการกินกล้วยนั้นก็ดี แต่ในช่วง 6 เดือนแรกของทารกควรกินแต่นมแม่ เพราะลำไส้ของทารกยังไม่ทำงานได้ไม่เต็มที่ หากกินกล้วยเข้าไปอาจไปอุดตันที่ลำไส้และอาจก่อให้เกิดอันตรายกับทารกได้ ต้องบ้วนน้ำลายใส่สะดือลูกหลังคลอด คนโบราณเชื่อว่าการบ้วนน้ำลายใส่สะดือจะทำให้สะดือเน่าและหลุดไป เป็นความเชื่อที่ไม่ควรทำตามอย่างยิ่ง!!! เพราะในความจริงแล้วสายสะดือจะหลุดไปเองโดยธรรมชาติ หากบ้วนน้ำลายใส่สะดือเด็กนั้นอาจทำให้เกิดการติดเชื้อที่กระแสเลือดได้ นอกจากนี้แพทย์ปัจจุบันนั้นมียาม่วงเอาไว้เช็ดสะดือลูกจนกว่าสายสะดือจะหลุด ห้ามตัดเล็บจนกว่าจะอายุ 1 เดือน ความเชื่อนี้มีมาตั้งแต่โบราณ ที่ว่าห้ามตัดเล็บจนกว่าจะอายุ 1 เดือน…

Read more

ลูกเป็นหวัด ไม่สบาย หายได้ด้วยของก้นครัวอย่าง “หอมแดง”

ลูกเป็นหวัด แก้ปัญหาได้ง่าย ๆ ด้วยภูมิปัญญาไทย อย่างหอมแดง เผื่อกรณีฉุกเฉินพาลูกไปเที่ยวนอกบ้าน ไม่คุ้นชินทางและบ้านเมืองในจังหวัดนั้น ๆ คุณพ่อคุณแม่จะได้มีวิธีรักษาเบื้องต้นและบรรเทาอาการหวัดนี้ให้ดีขึ้นได้ ลูกเป็นหวัด บรรเทาด้วยหอมแดง ( อ้างอิงจากสำนักงานข้อมูลสมุนไพร ) จากวารสารแพทย์ทางเลือกและการแพทย์แผนไทย 2553 ได้มีการศึกษาในการนำหอมแดง 3-4 หัวมาทุบ โดยก่อนทุบนั้นจะต้องตัดราก ปอกเปลือก และล้างทำความสะอาด ก่อนใส่ถุงผ้าบาง ๆ ห่อเป็นกระจุกแล้วนำไปทุบหยาบ ๆ ซึ่งในกรณีนี้ได้นำเด็กแรกเกิดจนถึงเด็กอายุ 3 ปีจำนวน 20 คน ในการนำหอมแดงเหล่านั้นที่ทุบแล้ววางไว้ห่าง ๆ ตัวเด็กเวลานอน เพื่อให้เด็กหายใจเข้าไป เมื่อเปรียบเทียบกับเด็กที่ใช้ยา chlorpheniramine syrup นั้นได้ผลดีกว่ามากจนผู้ปกครองมีความพึงพอใจร้อยละ 92.5 เลยทีเดียว ทำให้ลดค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลไปได้เยอะ แถมยังสะดวกและประหยัดเวลาในการเดินทางไปพบหมออีก อีกทั้งหอมแดงยังช่วยเพิ่มความอยากอาหารแก่แม่ที่ตั้งครรภ์ได้อีกด้วย ถ้ามีอาการแพ้ ยิ่งต้องกินหอมแดงเลย วิธีรักษาหวัด ด้วยหอมแดง 1.หากต้องการแก้คัดจมูก ลดน้ำมูก แนะนำพ่อแม่ให้นำหอมแดงปอกเปลือกล้างน้ำสะอาด แล้วทุบหยาบ ๆ ใส่ผ้าบาง วางไว้บริเวณหัวนอน ที่ห่างจากตัวเสียหน่อยก็ได้ เพื่อให้กลิ่นของหอมแดงเข้าจมูก ลดอาการเหล่านั้นให้หายไป 2.ต้มน้ำอาบ ยิ่งเวลาลูกเป็นหวัด พ่อแม่สามารถนำหอมแดงที่ปอกเปลือกแล้วไปต้มกับน้ำเดือด แล้วนำมาอาบน้ำกับคุณลูกได้เลย เพราะจะเป็นเหมือนการอบไอน้ำไปในตัว เวลาเอาน้ำราดตัวแล้วจะได้กลิ่นของหอมแดง ทำแบบนี้ยิ่งทำให้หายใจได้คล่องและสะดวกมากขึ้น ถ้ามีเวลาว่างพ่อแม่ควรทำจนกว่าลูกจะหายเป็นหวัด หรือถ้าไม่อยากนำไปอาบสามารถนำเทใส่อ่างใหญ่ ๆ แล้วนำผ้าขนอุ่นคลุมหัวพร้อมกับปิดตา เพื่อสูดดมไอน้ำเหล่านั้นและป้องกันไม่ให้แสบตาด้วย ประโยชน์ของหอมแดงไม่ได้มีไว้แค่แก้หวัดเท่านั้น ยังสามารถช่วยลดกลิ่นคาวของอาหาร ลดคอเลสตอรอลในเลือด หรือแม้แต่ช่วยให้การนอนหลับของเราดียิ่งขึ้น แถมยังช่วยบำรุงสมองได้อีกด้วย ลูกจิ๋วแต่แจ๋วจริง ๆ เลย ยังไงพ่อแม่ก็ลองนำไปทำกันดู เพื่อได้ผลจะได้ไม่ต้องเสียเวลาลางานเพื่อพาลูกไปพบคุณหมอ

Read more

การทำงานของสมอง เด็ก 5 เรื่องที่พ่อแม่ไม่เคยรู้

การทำงานของสมอง เด็ก มีความสำคัญอย่างมากในวัยนี้ เนื่องจากเป็นวัยที่มีพัฒนาการด้านการเรียนรู้ได้ไวและรวดเร็วมาก อีกทั้งสมองยังเปรียบเสมือนเป็นรากฐานในร่างกายของทุกคน ดังนั้นเพื่อให้พ่อแม่ได้ปลูกฝังรากฐานนี้ของลูกให้แน่นและแข็งแร็ง เพื่อเติบโตไปเป็นเด็กที่ฉลาดและมีศักยภาพมากที่สุด โดยให้พ่อแม่ได้ไปรู้จักกับการทำงานของสมองลูกน้อย เพื่อนำไปเป็นประโยชน์ในการเสริมสร้างพัฒนาการลูกกัน 1.การทำงานของสมองเด็ก เริ่มทำงานตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ ในช่วงที่คุณแม่เริ่มตั้งท้องลูกได้เพียงแค่ 9 เดือน รู้ไหมว่าลูกของเราเริ่มมีพัฒนาการด้านสมองแล้วนะ เนื่องจากสมองมีการพัฒนาสร้างเซลล์สมองเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากภายใน 2 เดือนแรกที่คุณแม่ตั้งท้อง อีกทั้งยังสามารถรับรสชาติของน้ำคร่ำได้ตั้งแต่อยู่ในท้องในช่วงของเดือนที่ 2-3 และหลังจากนั้นเดือนที่ 4-6 สมองของลูกเริ่มที่จะควบคุมการขยับของร่างกายได้บ้างแล้ว โดยออกมาในรูปแบบของการดิ้นนั่นเอง แถมในช่วงใกล้คลอดอย่างเดือนที่ 7-9 นี้เอง สมองของเด็กเริ่มมีรอยหยักในสมอง สามารถจำเสียงของพ่อแม่ได้ตั้งแต่อยู่ในท้องแล้วด้วย 2.สมองลูกถูกกระตุ้นการเรียนรู้ด้วยการสัมผัส ไม่ว่าจะเป็นการกอดลูก การสัมผัส การให้ลูกดูดนม สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นการกระตุ้นให้เซลล์สมองทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เนื่องจากการสัมผัสจะไปกระตุ้นให้สมองส่วนไชแนปส์ หรือจุดประสานประสาทให้สร้างเซลล์ในช่องว่างที่มีอยู่ในสมอง ทำให้เส้นใยประสาทในสมองแตกแขนงเพิ่มมากขึ้นนั่นเอง ถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก เพราะในปีแรกของลูกน้อยเซลล์สมองจะมีการเจริญเติบโตสูงถึง 90% เลย 3.สมองลูกพัฒนาตามการให้นมแม่ จากการวิจัยของ Lucas A พบว่าการให้นมแม่กับทารกมีผลต่อสมอง โดยเฉพาะในด้านของภาษา ยิ่งให้นมแม่มากเท่าใดสมองของลูกก็จะยิ่งมีพัฒนาการมากขึ้นเท่านั้น เพราะในน้ำนมแม่มีน้ำตาลแล็กโทสสูงถึงร้อยละ 7 ส่วน เมื่อเทียบกับนมทั่วไปที่มีค่าน้ำตาลแล็กโทสเพียงแค่ร้อยละ 4.8 ส่วนเท่านั้น ซึ่งน้ำตาลแล็กโทสนี่จะย่อยไปเป็นน้ำตาลกาแล็กโทสที่เป็นส่วนประกอบสำคัญของสมองนั่นเอง 4.สมองจะเรียนรู้น้อยลงเมื่อเกิดความเครียด การทำให้ลูกเครียด หรือแสดงพฤติกรรมต่าง ๆ ในด้านไม่ดีต่อหน้าลูกนั้น…

Read more

ลิ้นเป็นฝ้าขาว เกิดจากนมหรือเชื้อรา ..? สิ่งที่พ่อแม่ต้องรู้ให้ทัน

ลิ้นเป็นฝ้าขาว พ่อแม่มักคิดว่าคงเป็นแค่คราบน้ำนมหลังจากลูกกินนมเสร็จแล้วเท่านั้น แท้จริงแล้วมันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่พ่อแม่คิดเสมอไป จนทำให้พ่อแม่ละเลยในการตรวจสอบและทำความสะอาดช่องปากให้ลูก ก่อนที่จะกลายเป็นเชื้อราจนต้องพบแพทย์ และใช้เวลารักษายาวนานได้ ลิ้นเป็นฝ้าขาว เกิดจาก คราบน้ำนมที่ไม่ได้เช็คทำความสะอาดหลังจากลูกกินนมแล้ว โดยส่วนมากมักเกิดกับเด็กที่กินนมผงมากกว่านมแม่  เพราะในนมผงมีความเข้มขนมากกว่านมแม่นั่นเอง ซึ่งไม่ได้เกิดเพียงแค่บนลิ้นเท่านั้น ยังสามารถเกาะตามกระพุ้งแก้ม เพดานปาก เรียกง่าย ๆ ว่าเกิดได้ทั่วรอบภายในปากของลูกเลยทีเดียวเชียว ทั้งนี้การที่แม่ปล่อยให้ลูกหลับคาเต้าก็เป็นสาเหตุของการเกิดลิ้นเป็นฝ้าได้เช่นเดียวกัน เนื่องจากน้ำนมของแม่ยังติดอยู่คาเต้าจึงทำให้เกิดการสะสมของน้ำนมภายในปากลูกได้ หรือหัวนมแม่เป็นเชื้อรา ความแตกต่างของฝ้าน้ำนมกับฝ้าเชื้อรา สามารถสังเกตได้ง่าย ๆ ถ้าเป็นคราบน้ำนมจะเช็คออกไปได้ แต่หากเป็นเชื้อราจะไม่สามารถเช็คออกได้ทันที รวมไปถึงอาการลูกน้อยจะมีอาการงอแง กินไม่ยอมกินนมหรืออาหารเสริม เนื่องจากการสะสมของเชื้อราภายในปากจะทำให้เกิดอาการเจ็บปากนั่นเอง แถมอาการเชื้อรายังเกิดได้จากการอมสิ่งของต่าง ๆ ที่สกปรกได้อีกเช่นกัน วิธีปกป้องการเกิดเชื้อราในปากของลูก คุณแม่สำรวจเต้าตัวเองก่อนให้นมลูกหากเต้านมของตัวคุณแม่เอง มีจุดขาว ๆ บริเวณหัวนม แสดงว่าคุณแม่อาจเป็นเชื้อราที่หัวนมได้ จึงขอให้งดนำลูกเข้าเต้าในขณะนั้น และคุณแม่ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจสอบอาการ ปล.หากไม่เป็นเชื้อราที่หัวนมก็อย่าลืมทำความสะอาดเต้าทุกครั้งก่อนและหลังให้ลูกกินนมด้วย ทำความสะอาดช่องปากของลูก หลังจากกินนมเสร็จแล้ว พ่อแม่ควรทำความสะอาดช่องปากลูก โดยทำความสะอาดไปที่ลิ้น ด้วยผ้าสะอาดชุบน้ำอุ่น วันละ 1-2 ครั้ง หรือทุกเช้าและก่อนเข้านอน เพื่อลดโอกาสความเสี่ยงในการติดเชื้อรา ใช้ยาป้ายลิ้นขาว คุณพ่อคุณแม่สามารถเลือกซื้อยาป้ายลิ้นขาว นำมาใช้ไปพร้อม ๆ กับตอนทำความสะอาดช่องปากของลูกได้ เพื่อให้คราบฝ้าขาวนั้นหายไป ทำความสะอาดของใช้ลูกให้ดี…

Read more

สารอันตราย BPA ในของใช้เด็ก หลีกเลี่ยงยังไงให้ลูกปลอดภัย

สารอันตราย ในปัจจุบันพบมากในสิ่งของรอบตัว แม้แต่ของใช้เด็กที่พ่อแม่คิดว่ายังไงผลิตออกมาก็ต้องปลอดภัยอยู่แล้ว ไม่น่ามีสารพิษอะไรหรอก แต่ผิดอย่างร้ายแรงเลยคุณพ่อคุณแม่ เพราะสารนี้เองพบมากในภาชนะมากมาย อาทิ ขวดนมลูก ของเล่นเด็ก ซึ่งเป็นภัยทางอ้อมต่อลูกน้อยในผลของเชิงลบ ทั้งการเจริญเติบโต สมอง และพัฒนาการต่าง ๆ เพื่อเป็นการป้องกันสารอันตรายให้ลูกน้อยได้ปลอดภัย วันนี้เรามีวิธีหลีกเลี่ยงของอันตรายเหล่านี้ให้ห่างไกลจากลูกกัน แต่ก่อนอื่นเราไปทำความรู้จักกับความหมายของสาร BPA กันก่อนเลย สารอันตราย BPA คืออะไร BPA หรือ Bisphenol A มีชื่อเรียกในภาษาไทยว่า “บิสฟีนอล เอ” เป็นสารเคมีสังเคราะห์ซึ่งมักนิยมนำมาเป็นวัตถุดิบในการผลิตบรรจุภัณฑ์อย่างขวดพลาสติกนี่เอง ซึ่ง 1 ในนั้นก็คือขวดนมลูกที่เราให้ลูกกินกันอยู่ทุกวัน  สารนี้เป็นส่วนหนึ่งของสาเหตุในการเป็นโรคมะเร็งในต่อมลูกหมากและมะเร็งเต้านม รวมไปถึง โรคเบาหวาน โรคอ้วน โรคไฮเปอร์ อีกทั้งยังส่งผลกระทบต่อฮอร์โมนการเจริญเติบโต เซลล์ประสาทสมอง ระบบความทรงจำ โดยสารพิษนี้จะเข้าสู่ร่างกายจากการผ่านกระบวนการต้ม นึ่ง โดนความร้อน ในการฆ่าเชื้อขวดนมของลูก จนทำให้เกิดการสะสม และนำไปสู่ผลในเชิงลบในที่สุด วิธีหลีกเลี่ยงสารอันตราย BPA 1.เลือกใช้ภาชนะพลาสติกที่มีสัญลักษณ์ #1-PET #2-HDPE #4-LDPE และ #5-PP หรือ BPA Free เพราะ สัญลักษณ์เหล่านี้เอง มักอยู่ในหมวดภาชนะของเด็กทารกที่ BPA…

Read more

อุจจาระ ลูก อาจสื่อถึงสุขภาพ รู้ไว้ให้อุ่นใจพ่อแม่

อุจจาระ ลูก เรื่องขี้ ๆ  ที่พ่อแม่ควรรู้ วันไหนลูกขับถ่ายดี เราก็อุ่นใจ แต่วันไหนลูกไม่ยอมขับถ่ายทำเอาพ่อแม่เครียดถึงขั้นพาไปพบแพทย์เลย ว่าแต่จะมีอะไรบ้างที่พ่อแม่ต้องรู้ไว้เพื่อให้ทราบถึงสุขภาพของลูกน้อยกันบ้าง ตามมาดูกันเลย ลักษณะของอุจจาระ อึของเด็กทารก (แรกเกิด) ในช่วงหลังคลอดเพียงไม่กี่วัน เจ้าตัวเล็กของเรากลับขับถ่ายเป็นสีเทา ซึ่งถ้าพูดถึงสีปกติของคนทั่วแล้วคงผิดปกติใช่ไหมหล่ะ แท้จริงแล้วสีอึสีเทาของเด็กแรกเกิดถือว่าเป็นสีที่ปกติอย่างมาก (หากลูกยังไม่ขับถ่ายอึสีเทาออกมาภายใน 24 ชม.พ่อแม่ต้องพาพบหมอทันที ลูกอาจมีปัญหาเรื่องลำไส้ได้) หลังจากนั้นสีจะเริ่มเปลี่ยนแปลงจากสีเทาเริ่มเป็นสีเขียวและเริ่มหายเหนียวหนืด จนกลายเป็นน้ำในที่สุดจากการกินนมแม่ อึของเด็ก 2-12 เดือน เมื่อลูกอยู่ในวัยนี้ อึจะเริ่มเป็นก้อนเป็นเนื้อมากขึ้น และเริ่มขับถ่ายเป็นเวลา แต่ยังไม่สามารถบังคับการขับถ่ายได้เอง แถมบางครั้งอึของลูกน้อยยังมีลักษณะคล้ายกับอาหารเสริมที่กินเข้าไปด้วย อึของเด็ก 1 ขวบขึ้นไป พอลูกเริ่มโตแล้ว เขาจะสามารถแสดงท่าทางว่าตนเองนั้นกำลังปวดห้องน้ำอยู่นะ แต่ยังไม่สามารถอั้นได้เท่าที่ควร ต้องรอให้ลูกโตอายุ 2-3 ขวบก่อน ถึงจะมีพัฒนาการด้านกล้ามเนื้อหูรูดในการบังคับขับถ่ายได้ สีของอุจจาระลูกบ่งบอกอะไร ? สีเหลืองมัสตาร์ด สีเขียว และสีน้ำตาล เป็นสีอึจากการกินนมแม่ มีลักษณะเนื้อนิ่มเหลว คล้ายท้องเสียแต่ไม่ใช่นะ โดยลูกอาจจะอึทุกครั้งหลังกินนมเสร็จหรืออึทีนานเป็นหลายวันหนก็เป็นได้ หากเป็นสีน้ำตาลอ่อน มีลักษณะข้นเหนียวเหมือนเนยถั่ว และกลิ่นแรง เกิดจากการกินนมผง แต่ถ้าเป็นนมแม่อึจะมีกลิ่นเฉพาะตัวที่ไม่เหมือนใครอยู่เหมือนกัน สีเขียวเข้ม เกิดจากคุณแม่กินผักใบเขียวเยอะ จึงทำให้น้ำนมแม่มีธาตุเหล็กสูง พอลูกอึมาจึงมีลักษณะเหนียวและเป็นสีเขียวเข้มนั่นเอง แต่ถ้าลูกอึสีเขียวติดต่อกันบ่อยเกินไปอาจเป็นเพราะลูกของเราได้รับน้ำนมน้อยเกินไป สีดำ/สีขาว/สีแดง สามสี้นี้ ถือเป็นสีอันตราย หากพบเห็นแสดงว่าลูกอาจมีปัญหากับระบบขับถ่าย หรือลำไส้ทำงานได้ไม่ดี รวมไปถึงความผิดปกติของตับและถุงน้ำดี พ่อแม่ควรพาลูกพบแพทย์ทันทีเมื่อเกิดอาการ หรืออึของลูกมีลักษณะคล้ายมูกมันวาวอาจเป็นสัญญาณเตือนได้ว่าลูกของเรากำลังติดเชื้ออยู่ นอกจากอาการผิดปกติของร่างกายลูกจะเป็นตัวบ่งชี้สุขภาพแล้ว สีอุจจาระก็เป็นอีก 1 ตัวช่วยที่จะทำให้พ่อแม่สังเกตสุขภาพของลูกได้บ่อยขึ้นด้วย เนื่องจากพ่อแม่ต้องตรวจดูลักษณะการขับถ่ายของลูกทุกครั้งหลังเปลี่ยนแพมเพิสหรือผ้าอ้อม เผื่อมีอาการผิดปกติใดจะได้แก้ไขทันท่วงที

Read more

ลูกน้อยปลอดภัยไม่เจ็บตัวบ่อย ด้วยวัคซีนรวม 6 โรค

ความกังวลใจข้อแรกๆ ของคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ทุกคนเกี่ยวกับลูกน้อยโดยเฉพาะช่วงขวบปีแรกคือการฉีดวัคซีน หลายคนกังวลว่าลูกน้อยจะได้รับวัคซีนครบไหม ค่าฉีดวัคซีนแพงหรือเปล่า รวมทั้งความเป็นห่วงว่าลูกน้อยต้องเจ็บตัวหลายครั้งเพราะต้องรับวัคซีนป้องกันโรคหลายเข็ม แต่รู้หรือไม่ว่า ปัจจุบันนี้มีทางออกที่ช่วยคลายความกังวลต่างๆ ได้แล้วกับ วัคซีนรวม 6 โรค ที่ช่วยให้ลูกน้อยเจ็บตัวน้อยลง ประหยัดค่าใช้จ่าย และสามารถป้องกันโรคได้ครอบคลุมตามคำแนะนำของสมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทยปี 2562 คำถามที่หลายคนอาจสงสัยอยู่ในใจคือ หากลูกไม่ฉีดวัคซีนจะได้ไหม การฉีดวัคซีนช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของลูกน้อยให้แข็งแรงขึ้นในช่วงวัยที่เสี่ยงที่สุดต่อการได้รับผลกระทบร้ายแรงจากการติดเชื้อบางชนิด  โดยเฉพาะเมื่อมีการระบาดของโรคเกิดขึ้น คุณพ่อคุณแม่ก็อุ่นใจได้ว่า ลูกน้อยจะปลอดภัยเพราะได้รับวัคซีนคุ้มกันแล้ว  ยิ่งเด็กทารกเกิดมาพร้อมกับระบบภูมิคุ้มกันที่ไม่สมบูรณ์ ทำให้ทารกมีความไวต่อการเกิดโรคร้ายที่เป็นอันตรายถึงชีวิต   วัคซีนประกอบด้วยส่วนประกอบของแบคทีเรียหรือไวรัสที่ถูกทำให้อ่อนฤทธิ์หรือถูกทำให้ตายลง เมื่อฉีดวัคซีนเข้าไปในร่างกาย ระบบภูมิคุ้มกันของลูกน้อยเรียนรู้ที่จะจดจำส่วนประกอบเหล่านั้นว่าเป็นอันตราย หากลูกสัมผัสกับเชื้อก่อโรคเหล่านี้อีกในภายหลัง ระบบภูมิคุ้มกันจะทำงานและป้องกันไม่ให้เชื้อก่อโรคนั้นๆแก่ลูกน้อย โรคที่สามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีน ได้แก่ โปลิโอ เยื้อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อฮิบ บาดทะยัก ไอกรน ไข้หวัดใหญ่ หัดเยอรมัน หัด คอตีบ ไวรัสตับอักเสบบี ไวรัสโรต้า ไข้สมองอักเสบเจอี คางทูม วัณโรค และปอดอักเสบ สำหรับวัคซีนชนิดรวม 6 โรค จะช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันของลูกน้อยและป้องกันโรคดังต่อไปนี้  โรคคอตีบ   โรคบาดทะยัก   โรคไอกรน  …

Read more