การเล่นคือช่วงเวลาแห่งการเรียนรู้ที่สำคัญที่สุดของเด็กทุกคน
การเลือกของเล่นให้เหมาะสมกับลูกน้อยแต่ละช่วงวัยจึงเป็นสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรใส่ใจไม่แพ้เรื่องอื่น
ซึ่งนอกจากจะคำนึงถึงเรื่องการส่งเสริมพัฒนาการแล้ว ยังต้องพิจารณาเรื่องความปลอดภัยเป็นปัจจัยหลักด้วย
โดยของเล่นเด็กควรผลิตจากวัสดุเกรดดี ปลอดสารพิษ ไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ
ทำความสะอาดง่าย หากมีกลไกไฟฟ้าต้องมั่นใจว่าผลิตจากโรงงานที่ได้มาตรฐาน
และมีความเหมาะสมกับเด็กแต่ละคน เช่น ถ้าเด็กเป็นโรคภูมิแพ้ก็ควรหลีกเลี่ยงตุ๊กตาผ้าที่สะสมฝุ่น
หรือถ้าเป็นเด็กวัยกำลังชอบส่งของเข้าปาก
ก็ควรหลีกเลี่ยงของเล่นที่มีส่วนประกอบชิ้นเล็กๆ ซึ่งอาจหลุดลงไปในลำคอได้
ของเล่นสำหรับเด็กอายุ 1 ขวบ เด็กส่วนใหญ่จะเริ่มหัดเดินช่วงอายุ 12-15 เดือน และเริ่มขีดเขียนเป็นเส้นบนกระดาษได้แล้ว อีกทั้งยังสามารถทำตามคำสั่งง่ายๆ และตอบชื่อสิ่งของใกล้ตัวได้ถูกต้อง ของเล่นที่เหมาะกับเด็กวัยนี้จึงควรเป็นของเล่นที่ช่วยเสริมทักษะด้านการเข้าใจบทบาทสมมติต่างๆ รวมถึงของเล่นที่ช่วยพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็กและสติปัญญา ตัวอย่างเช่น
หนังสือบอร์ดที่ทำจากกระดาษอัดแข็ง แข็งแรงทนทาน เลือกเล่มที่มีภาพประกอบสีสันสดใสหรือภาพถ่ายวัตถุจริง เพื่อให้ลูกน้อยได้เรียนรู้เรื่องสิ่งของต่างๆ รอบตัว สมุดระบายสี แนะนำให้ใช้คู่กับสีเทียนแท่งใหญ่ จะมีสีสันดึงดูดความสนใจและปลอดภัยกว่าสีไม้ที่มีปลายแหลม ของเล่นที่จำลองบทบาทสมมติ เช่น โทรศัพท์ปลอม ตุ๊กตาเด็กพร้อมอุปกรณ์แต่งตัว หุ่นเชิด ยานพาหนะจำลอง ของเล่นที่ช่วยฝึกกล้ามเนื้อมัดใหญ่และมัดเล็ก เช่น เพ็กบอร์ดขนาดใหญ่ ลูกบอลขนาดใหญ่และเล็ก บล็อกไม้ ของเล่นที่ฝึกการใช้มือหยิบจับในอิริยาบถต่างๆ
ของเล่นสำหรับเด็กอายุ 2 ขวบ เด็กวัยนี้สามารถควบคุมกล้ามเนื้อมือได้ดีขึ้น อีกทั้งยังเป็นวัยที่กำลังเรียนรู้ทักษะด้านภาษาอย่างรวดเร็ว ชอบเล่นบทบาทสมมติ เช่น ทำอาหาร รักษาคนป่วย รวมถึงชอบทดสอบสมรรถภาพทางร่างกายด้วยการปีนป่าย กระโดดจากที่สูง เกลือกกลิ้ง ห้อยโหน เรียกว่าเป็นวัยที่กำลังซุกซนเอาเรื่องทีเดียว จึงต้องระวังเรื่องอุบัติเหตุมากเป็นพิเศษ…
เสียงหัวเราะคือความมหัศจรรย์ของลูกน้อยที่ทำให้คนรอบตัวพลอยอารมณ์ดีไปด้วย
เวลาเห็นเขายิ้มแย้มและส่งเสียงอย่างมีความสุข คุณพ่อคุณแม่จะชื่นใจจนหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งเลย
เพราะความร่าเริงแจ่มใสเหล่านั้นคือการแสดงออกถึงพัฒนาการทางอารมณ์ที่ดี
ถ้าอยากให้ลูกน้อยหัวเราะบ่อยๆ ลองทำตามวิธีเหล่านี้ดู
1. เล่นจ๊ะเอ๋ วิธีคลาสสิกที่สุดที่ทุกบ้านต้องเคยใช้เล่นกับเจ้าตัวน้อยคือการเอามือปิดหน้าแล้วเปิดออกพร้อมกับส่งเสียง “จ๊ะเอ๋” เด็กส่วนใหญ่ตอบสนองกับการเล่นนี้ได้ดีมากทั้งเด็กเล็กและเด็กโต ถ้าเป็นเด็กวัยประมาณ 1 ขวบที่เริ่มเดินได้แล้ว เขาจะยิ่งสนุกกับการเข้าไปแอบซ่อนในผ้าม่านหรือผ้าห่ม แล้วโผล่หน้าออกมาให้คุณพ่อคุณแม่ประหลาดใจ
2. แปลงร่างเป็นสัตว์ประหลาด บางครั้งคุณพ่อคุณแม่ก็ต้องเป็นทุกอย่างให้กับลูก ไม่เว้นแม้กระทั่งสัตว์ประหลาด เด็กๆ จะชอบมากที่ได้เห็นผู้ใหญ่ทำหน้าตาท่าทางตลกๆ และส่งเสียงประหลาดดึงดูดความสนใจ วิธีนี้ไม่ใช่แค่ลูกน้อยเท่านั้นที่จะหัวเราะอารมณ์ดี บางทีเราทำเองก็ยังอดขำตัวเองไม่ได้
3. จั๊กจี้เบาๆ การจั๊กจี้เบาๆ ไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกายเป็นวิธีหนึ่งที่กระตุ้นให้เด็กหัวเราะอย่างได้ผล หรือจะใช้การกระตุ้นสัมผัสรูปแบบอื่นๆ เช่น เป่าลมให้เกิดเสียงตรงพุงเล็กๆ ของเจ้าตัวน้อย ถูจมูกของคุณเข้ากับจมูกของเขาเบาๆ แบบนี้ก็ไม่ผิดกติกาแต่อย่างใด
4. พาลูกเล่นหัดบิน หากลูกน้อยของคุณคอแข็งพอที่จะตั้งได้แล้ว ลองจับเขามานั่งบนหัวเข่าและขยับขาขึ้นลงช้าๆ อย่างระมัดระวัง พร้อมกับส่งเสียงเชียร์ให้เจ้าตัวเล็กรู้สึกเหมือนกำลังหัดบิน รับรองว่าเขาจะหัวเราะเอิ๊กอ๊ากอย่างแน่นอน
5. ใช้เสียงเป็นตัวช่วย ของเล่นที่มีเสียงกรุ๊งกริ๊งหรือยางบีบต่างๆ ดึงดูดความสนใจจากเด็กได้มากเป็นพิเศษ หรือจะนำของใกล้ตัวมาประยุกต์ใช้เล่นกับลูกก็ประหยัดและได้ผลดีไม่แพ้กัน เช่น เสียงฉีกกระดาษ เสียงขยำถุงพลาสติก เด็กบางคนอาจตอบสนองกับเสียงเหล่านี้มากกว่าเสียงจากของเล่นเสียอีก
เสียงหัวเราะเป็นยาวิเศษและเป็นสิ่งที่ส่งต่อกันได้
หากคนใกล้ชิดที่เลี้ยงดูเขาอารมณ์ดี
เด็กทารกจะรับรู้ได้ถึงความรู้สึกนั้นและอารมณ์ดีตามไปด้วย นอกจากนี้ เด็กเล็กๆ
ยังมักมีความสามารถในการสื่อสารกันเองหรือสื่อสารกับสัตว์เลี้ยงในแบบที่ผู้ใหญ่อย่างเราๆ
คาดไม่ถึง บางทีปล่อยให้พวกเขาเล่นกันเพลินๆ…
อาหารการกินของลูกน้อยเป็นเรื่องใหญ่ที่คุณพ่อคุณแม่ทุกคนใส่ใจมากเป็นพิเศษ
เพราะโภชนาการที่ดีคือจุดเริ่มต้นของสุขภาพที่แข็งแรง
ซึ่งจะนำไปสู่การมีพัฒนาการต่างๆ เหมาะสมตามวัยทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และสมอง
โดยปัจจุบันองค์การอนามัยโลกแนะนำว่าทารกควรกินนมแม่อย่างเดียวในช่วง 6 เดือนแรก
หลังจากนั้นจึงค่อยเสริมอาหารอื่นๆ ตอนที่ระบบย่อยของเขาพัฒนาจนมีความพร้อมแล้ว
หากป้อนอาหารเสริมเร็วเกินไป อาจทำให้เด็กมีโอกาสแพ้อาหารได้ง่าย
โดยช่วงที่เริ่มให้นมแม่ควบคู่ไปกับอาหารเสริม เป็นช่วงเวลาสำคัญในการปลูกฝังให้ลูกน้อยเป็นเด็กกินง่าย
หากปลูกฝังกันมาตั้งแต่ต้น หลังจากนั้นอุปสรรคในการป้อนข้าวลูกก็จะน้อยลง
หลีกเลี่ยงอาหารรสหวานในช่วงเริ่มต้น ช่วงเดือนแรกที่เริ่มป้อนอาหารเสริม ควรสอนให้เขารู้จักรสชาติของผักก่อน โดยเลือกผักเนื้อเนียนนุ่ม กลิ่นไม่ฉุน เมนูที่กุมารแพทย์แนะนำคือข้าวกล้องหุงรวมกับถั่วและค่อยๆ เพิ่มผักเข้าไปทีละอย่าง ปั่นให้ละเอียด ปรุงรสด้วยเกลือเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเพื่อเสริมไอโอดีน เริ่มป้อนจากปริมาณ 1 ช้อนโต๊ะ และค่อยๆ เพิ่มทีละน้อย หากเขาไม่อยากกินก็อย่าเพิ่งบังคับฝืนใจ แต่ให้ทดลองใหม่ในวันถัดไป หลังจากป้อนเมนูผักครบเดือนแล้ว จึงค่อยเสริมผลไม้ในเดือนถัดไป
ฝึกให้ลูกตักอาหารเข้าปากเอง แน่นอนว่าสิ่งที่ตามมาคือความเลอะเทอะ แต่การฝึกให้กินอาหารด้วยตัวเอง จะทำให้ลูกน้อยสนุกและสนใจการกินมากยิ่งขึ้น เมื่อทำได้และได้รับคำชื่นชมจากคุณพ่อคุณแม่ เขาก็จะเกิดความภูมิใจและไม่ต่อต้านการกินอาหาร
ชวนลูกเข้าครัว เด็กจะเริ่มกินยากมากขึ้นในช่วงอายุ 1-3 ขวบ เพราะเป็นช่วงที่เขาเปลี่ยนจากอาหารบดมาเป็นอาหารที่ต้องเคี้ยวเอง และเข้าสู่วัยที่เป็นตัวของตัวเองมากขึ้น แต่ข้อดีคือเด็กวัยนี้กำลังสนใจเรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบตัว และทำอะไรหลายๆ อย่างได้ด้วยตัวเอง การชวนเข้าครัวไปทำความรู้จักกับวัตถุดิบ ให้ช่วยเตรียมของในขั้นตอนง่ายๆ และให้เขาออกความเห็นเกี่ยวกับเมนูอาหารบ้าง จะช่วยกระตุ้นให้ลูกน้อยเกิดความรู้สึกอยากกินมากยิ่งขึ้น
เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับลูก เด็กมักมีพฤติกรรมเลียนแบบคนใกล้ตัว คุณพ่อคุณแม่จึงต้องเป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่ลูก และควรให้เขานั่งกินข้าวร่วมโต๊ะเดียวกับผู้ใหญ่ในครอบครัวเพื่อสร้างบรรยากาศที่ดี ซึ่งเด็กอายุ 1 ขวบขึ้นไปสามารถกินอาหารได้ใกล้เคียงกับผู้ใหญ่แล้ว…
คุณแม่มือใหม่หลายคนที่มีความจำเป็นต้องเดินทางไกลบ่อยๆ อาจมีความกังวลว่า คนท้องสามารถขึ้นเครื่องบินได้หรือไม่? แล้วจะปลอดภัยหรือเปล่า?
คุณแม่ทุกคนต่างรู้ดีว่านมที่ดีที่สุดสำหรับลูกรักก็คือ “นมแม่” ซึ่งเหมาะสำหรับเด็กแรกเกิดไปจนถึงวัยประมาณ 1 ขวบ และหลังจากนั้นก็จะเป็นหน้าที่ของอาหารประเภทอื่น ๆ ที่จะเข้ามามีส่วนในการพัฒนาทางด้านต่าง ๆ ของร่างกายให้กับลูก รวมถึง “นมโคแท้” ที่เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่เด็ก ๆ ส่วนใหญ่ควรดื่มเป็นประจำ เพราะนมโคแท้นอกจากจะทำหน้าที่เป็นแหล่งพลังงานที่ดีแล้ว ยังมีสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายของเด็กอีกด้วย
และนี่คือ 5 เรื่องจริงของนมโคแท้ว่าทำไมถึงเหมาะกับลูกน้อย
1. นมโคแท้ อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุชั้นดีที่ร่างกายต้องการ อาทิ วิตามิน เอ, บี 1, บี 2, ฟอสฟอรัส, ไอโอดีน, วิตามิน ดี, เค, ธาตุเหล็ก, วิตามิน บี 5, บี 12 และอื่นๆ อีกมากมาย! โดยเฉพาะวิตามินบี 2 ซึ่งทำหน้าที่ช่วยให้ร่างกายได้พลังงานจากคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน ส่วนวิตามินบี 12 จะทำหน้าที่ช่วยสร้างสารที่จำเป็นในการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง และมีส่วนช่วยในการทำงานของระบบประสาทและสมอง
2. นมโคแท้ ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง…
คุณแม่ทุกคนต้องการให้ลูกน้อยแข็งแรงเติบโตสมวัย แต่ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญในใจแม่ๆ เท่ากับเรื่องสุขภาพทางร่างกายนั่นก็คือ ต้องการให้ลูกเป็นเด็กเฉลียวฉลาด อยากทราบเคล็ดลับดีๆ เพื่อช่วยให้สมองของลูกได้รับการพัฒนาเต็มศักยภาพเพื่อให้เขาก้าวทันโลก ทันความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในอนาคตเมื่อเขาโตขึ้นใช่ไหมคะ
แล้วทราบหรือไม่ว่าเคล็ดลับในการพัฒนาสมองนั้น
อยู่ในอาหารที่ลูกได้รับในแต่ละวันนั่นเอง
แม่ ๆ ตามมาไขความลับอันน่าทึ่งของสารอาหารที่ช่วยในการพัฒนาสมองลูกพร้อมกันเลยค่ะ
ลูกสมองไวต้องได้ ‘สฟิงโกไมอีลิน’ (Sphingomyelin)
ลูกควรได้รับโภชนาการที่ดีตั้งแต่แรกเกิด และในบรรดาสารอาหารมีประโยชน์ต่อร่างกายทารกทั้งหลาย ขอแนะนำให้แม่ๆ ได้ทำความรู้จักกับ ‘สฟิงโกไมอีลิน’ สารอาหารเพื่อการดูแลสมองลูกน้อย
นพ.วรสิทธิ์ ศิริพรพาณิชย์ กุมารแพทย์ โรคระบบประสาท กล่าวถึงคุณสมบัติโดดเด่นของ สารสฟิงโกไมอีลินว่า
“เป็นสารอาหารชนิดหนึ่งในกลุ่มไขมันที่พบมากในนมแม่ นม และผลิตภัณฑ์จากนม ทำหน้าที่ช่วยสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมอง การเชื่อมโยงการทำงานของเซลล์ประสาทในสมองแต่ละส่วน (Brain Connection) อันเป็นกลไกที่สำคัญที่สุดในการทำงานของสมอง ต้องเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว สมองจึงจะทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ”
เพิ่มความเร็วส่งสัญญาณสมองได้จริงหรือ
?
คำตอบก็คือได้ค่ะ แต่ต้องอาศัยการสร้างปลอกไมอีลิน (Myelin) ซึ่งปลอกไมอีลินนี้มีการสร้างตั้งแต่อยู่ในครรภ์และสร้างอย่างต่อเนื่องอย่างรวดเร็วภายใน 2 ปีแรกหลังคลอด แล้วยังสร้างต่อไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ตอนต้น ลูกจึงควรได้รับสารอาหารสฟิงโกไมอีลินอย่างพอเพียง
เบื้องหลังการทำงานของสมองช่างซับซ้อน
ขอยกตัวอย่างง่ายๆ เพื่อให้เห็นภาพการทำงานของสมองค่ะ ไม่ว่าจะเป็นการคลาน การเดิน…
คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ที่ยังไม่เคยรู้กันมาก่อนว่า เบบี๋ตัวน้อยที่พึ่งลืมตามาดูโลกได้ไม่กี่วันนั้น ต้องมีการฉีดวัคซีนให้ครบทุกตัว และไปตามนัดหมอทุกครั้ง เพราะในช่วง 6 เดือนแรก ลูกยังไม่มีภูมิคุ้มกันและป่วยง่ายมากๆ ดังนั้น เพื่อเป็นการเสริมเกราะให้ลูกแข็งแรงนอกจากนมแม่แล้วนั้น ไปดูกันว่า มีวัคซีนตัวไหนบ้างที่ลูกต้องโดนฉีด หากฉีดไม่ครบ น่ากลัวแน่นอน! วัคซีนสำหรับทารกพึ่งเกิด ทารกแรกเกิดจะต้องได้รับการฉีดวัคซีนวัณโรคและตับอักเสบบี (ฉีดภายใน 24 ชม. หลังคลอด) เพราะเป็นโรคที่ติดผ่านกันได้ง่าย ส่วนตับอักเสบบีนั้น จะฉีดป้องกันเนื่องจาก กรณีที่คุณแม่ท่านไหนมีพาหะของเชื้อ ก็อาจจะติดมาสู่ลูกได้นั่นเอง วัคซีนวัย 1 เดือน ฉีดป้องกันโรคตับอักเสบบีเพิ่มอีก 1 เข็ม เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและต้านทานเชื้อโรคที่จะเข้าสู่ลูกน้อย การฉีดวัคซีนในวัย 2 เดือน เด็กๆ จะได้รับการฉีดวัคซีนคอตีบบาดทะยักไอกรน เนื่องจากเป็นเชื้อที่ร้ายแรงมาก ไม่ป้องกันไว้จะถึงขั้นไอจนเสียชีวิตได้เลย อีกตัวจะเป็นการฉีดตับอักเสบบีเพิ่มอีก 1 เข็ม และมีการหยดยาโปลิโอเพิ่มด้วย วัคซีนวัย 4 เดือน จะเหมือนการฉีดวัคซีนในช่วงเดือนที่ 2 นั่นก็คือ ฉีดวัคซีนคอตีบบาดทะยักไอกรนและตับอักเสบบีซ้ำอีก 1…
เมื่อลูกๆ เริ่มโตขึ้น ฟันเริ่มทยอยขึ้นครบทุกซี่ ปัญหาที่สร้างความหนักใจรองจากเรื่องดูแลรักษาฟันในเด็กก็คือ จะทำยังไงดีให้ลูกยอมออกไปพบหน้าหมอฟัน และเพื่อให้ลูกของเราเกิดภาพลักษณ์ที่ดีต่อการหาหมอฟันไปตลอดกาลนั้น คนเป็นพ่อแม่ต้องทำยังไงบ้างนั้น มาดูเทคนิคนี้กัน สุดง่าย แถมได้ผลทันตาเห็นกันเลย! 1. เฟ้นหาสถานที่ไม่ต้องไกลมาก หากใครไม่เคยคำนึงถึงประเด็นนี้มาก่อนล่ะก็ ต้องเตรียมหาข้อมูลกันให้หนักเลยนะแม่ๆ เพราะเด็กเค้าไม่ชอบนั่งรถนานๆ อยู่แล้ว ยิ่งรู้ว่าปลายทางข้างหน้าต้องไปพบกับคุณหมอฟันด้วยนะ ยิ่งงอแงเข้าไปใหญ่ ดังนั้น การเลือกคลินิกหรือโรงพยาบาลที่เดินทางสะดวก และมีมุมของเล่นเพื่อเปลี่ยนอารมณ์ลูกได้ ยิ่งดีใหญ่เลย เพราะเค้าจะลืมความกลัวที่อยู่ตรงหน้า และเพลิดเพลินไปกับกองของเล่นของทางโรงพยาบาลซะแทน 2. พูดปลอบให้ลูกรู้สึกดี ห้ามเด็ดขาด! กับคำพูดที่ส่อถึงความน่ากลัวหรือเรื่องโหดร้าย ที่จะทำให้ลูกของเรานั้น ขยาดกับการมาหาหมอฟันไปอีกยาว ซึ่งเทคนิคการพูดนั้น ง่ายนิดเดียว แค่พูดยังไงก็ได้ให้ลูกรู้สึกดี เช่น ให้หมอส่องฟันดูนิดเดียวนะลูก หลับตายังไม่ถึง 2 นาทีเองก็เสร็จแล้วล่ะ อะไรทำนองนี้ ก็จะทำให้ลูกอุ่นใจขึ้นได้มากแล้วล่ะ 3. เข้าไปให้กำลังใจถึงในห้องหมอกันไปเลย หากลูกน้อยต้องการให้เราเข้าไปในห้องคุณหมอด้วยนั้น คุณพ่อคุณแม่ห้ามปฎิเสธเด็ดขาดเลย เพราะการเข้าไปให้กำลังใจถึงในห้องนั้น เด็กๆ จะรู้สึกอุ่นใจ ต่อให้ต้องอยู่กับคุณหมอนานเท่าไหร่ ลูกก็จะทนต่อไปได้ เพราะตรงนั้น…
จะว่าเป็นความมักง่ายก็ไม่เชิง เมื่อฟาร์มเลี้ยงไก่สมัยนี้ มักฉีดฮอร์โมนเพื่อเร่งให้ไก่โตเร็วทันใจ พร้อมออกขายสู่ตลาดได้รวดเร็ว อีกทั้งการฉีดฮอร์โมนในไก่ ยังทำให้ไก่ดูน่าทานยิ่งขึ้นอีกด้วย แต่มันกลับส่งผลร้ายแรงต่อมนุษย์มากกว่าที่เราคิด เพราะการรับฮอร์โมนจากการทานไก่มากไป จะทำให้เกิดอาการผิดปกติตามมา ไม่ว่าจะเป็นซีส หรืออาการ “สาวไวผิดปกติ” ในหมู่ผู้หญิง แล้วไก่ในไทยล่ะ มีการเร่งฮอร์โมนจริงมั้ย หรือพอจะมีส่วนไหนของไก่ที่เราต้องระวังห้ามทานเป็นพิเศษ มาดูกัน! สรุปแล้ว การทานไก่ฉีดฮอร์โมน อันตรายจริงหรือไม่ ถ้าต้องพูดถึงการฉีดฮอร์โมนเข้าไปในไก่นั้น ความจริงคือมันอันตรายต่อผู้บริโภคจริงๆ แต่ในประเทศไทยนั้น ได้ทำการทำข้อตกลงระหว่างประเทศตั้งแต่ปี 2542 ห้ามฉีดฮอร์โมนเข้าไปในไก่แล้ว และเนื่องจากการฉีดฮอร์โมนเข้าไปในไก่มีราคาสูงมากๆ ทำให้เจ้าของฟาร์มไก่ในประเทศไทยนั้น มักไม่นิยมฉีดฮอร์โมนในไก่มากเท่าไหร่ ดังนั้น ไก่ที่เราบริโภคในทุกๆ วันนี้ จึงยังไม่น่ากลัวจนถึงขั้นต้องเลิกทาน เพียงแต่ทานในปริมาณที่พอเหมาะพอควร และหลีกเลี่ยงการทานเนื้อไก่ในส่วนที่เค้าต้องห้ามทานจะดีที่สุด ส่วนไหนของไก่ที่ต้องห้ามทาน และส่วนไหนบ้างที่เป็นมิตรต่อร่างกาย! เนื่องจากฟาร์มเลี้ยงไก่แต่ละแห่ง มีมาตรฐานการเลี้ยงไก่และป้องกันสารพิษแตกต่างกันออกไป ทำให้บางฟาร์มก็อาจจะมีสารพิษหรือยาฆ่าแมลงที่ปนเปื้อนอยู่ในไก่ติดตัวออกมาบ้าง ในส่วนของปีกไก่ คอไก่ และหัวไก่ ถือเป็นส่วนที่มีมันเยอะมาก ทำให้สารเคมีและสารพิษมักจะเกาะกินและฝังตัวอยู่ในบริเวณตรงส่วนเหล่านี้เป็นจำนวนมาก จึงทำให้อันตรายก็ยังพอหลงเหลืออยู่บ้าง ดังนั้น ใน 3…
ฝนที่ตกลงมาในช่วงฤดูฝนนี้ อากาศเปลี่ยนแปลง เริ่มเย็นลง ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ก็มีโอกาสป่วยเป็นโรคต่างๆ ได้ง่ายไม่ว่าจะเป็นโรคภูมิแพ้ ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ ปอดบวม แต่กลุ่มที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดคือทารกแรกเกิดหรือเด็กเล็กที่อายุยังไม่ถึงหนึ่งขวบปี เพราะร่างกายยังไม่มีภูมิคุ้มกันมากพอ ทำให้ป่วยง่ายและงอแงมากกว่าปกติ
แก้ปัญหาแต่เนิ่นๆ ปลอดภัยกว่า
อาการในเบื้องต้นของบรรดาโรคฮิตที่เด็กเล็กเป็นกันมากคือ อาการคัดจมูก น้ำมูกเหนียวข้น เมื่อน้ำมูกไปอุดตันส่งผลให้ลูกน้อยหายใจลำบาก ที่สำคัญ หากปล่อยทิ้งไว้ อาจเกิดภาวะติดเชื้อแทรกซ้อน ที่เป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ยิ่งหากเป็นทารกแรกคลอด อาจทำให้คุณพ่อคุณแม่มือใหม่กังวลใจเพราะไม่รู้ว่าจะจัดการกับอาการของลูกน้อยอย่างไรดี
จริงๆ แล้วมีวิธีรับมือสำหรับอาการคัดจมูก หรือน้ำมูกเหนียวข้นที่ไปอุดตันการหายใจของลูกน้อย หนึ่งในวิธีแก้ไขที่ง่าย ปลอดภัยและได้ผลดีคือการล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ
ล้างจมูก ประโยชน์เยอะ
การล้างจมูกเป็นการใช้น้ำเกลือเข้าไปช่วยทำความสะอาดโพรงจมูก ชะล้างน้ำมูก คราบเหนียวต่างๆ รวมทั้งหนองบริเวณโพรงจมูกที่ลูกน้อยไม่สามารถกำจัดได้ด้วยตัวเอง ช่วยบรรเทาอาการคัดแน่นระคายเคือง ลดการอักเสบในจมูก เยื่อบุจมูกยุบบวม…