ลูกเอาแต่ใจ
คุณพ่อคุณแม่ที่เข้ามาอ่านบทความนี้ไมต้องเครียดกันค่ะ
เพราะพฤติกรรมแบบนี้เด็กแทบจะทุกคนต้องเป็น
และเป็นอีกหนึ่งปัญหาใหญ่มากๆที่พ่อแม่หลายคนรับมือกับมันไม่ค่อยได้ จนทำให้ลูกถึงขั้นแอนตี้พ่อแม่ได้เลยหากเราแสดงการกระทำและวิธีการรับมือกับสิ่งนี้ไม่ถูกต้อง
แท้จริงแล้วเราไม่ต้องไปสรรหาวิธีอะไรมากมายให้ยุ่งยากเลยค่ะ
เพียงแค่ปรับความคิดเหล่านี้
คุณพ่อคุณแม่ก็สามารถรับมือกับการเอาแต่ใจของลูกๆได้ทุกสถานการณ์เลย
ลูกเอาแต่ใจ ปรับได้ด้วย 2 ความคิดนี้
2 ความคิดนี้จะเป็นความคิดที่ทำให้คุณพ่อคุณแม่รู้ตัวค่ะ
ว่าสิ่งที่ทำใส่ไปลูก
แม้จะตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจสามารถส่งผลกระทบต่อนิสัยการเอาแต่ใจ ต่อต้อน
ของเขาได้ค่ะ
ความคิดแบบที่ 1 การตอบสนองกลับแบบมุ่งจัดการให้อยู่หมัด ความคิดแบบที่ 2 การตอบสนองกลับแบบมุ่งช่วยหาจุดลงตัวให้ลูก
เอาหล่ะค่ะ .. เราจะมายกตัวอย่างง่ายๆของความคิดทั้ง 2 แบบกัน
เหตุการณ์ : ลูกไม่ยอมไปอาบน้ำ ร้องไหโวยวาย
ความคิดแบบที่ 1 : เมื่อลูกของเราไม่ยอมไปอาบน้ำ ร้องไหโวยวาย
ถ้าเป็นแบบนี้พ่อแม่บางคนอาจจะปรอทแตกเลยค่ะ ว่าลูกขัดคำสั่ง ไม่ยอมเชื่อฟัง ดื้อ จึงทำให้เกิดการตอบสนองแบบอยากจะบังคับลูกให้ไปอาบน้ำให้ได้
ทำอย่างไรก็ได้ แต่ในทางตรงกันข้ามเลยค่ะกับความคิดแบบที่ 2
ความคิดแบบที่ 2 : เมื่อลูกของเราไม่ยอมไปอาบน้ำใช่ไหมคะ
คุณพ่อคุณแม่ที่มีความคิดแบบที่ 2 นี้
จะเข้าใจค่ะว่าสิ่งที่ลูกกระทำ ไม่ว่าจะเป็นร้องไหโวยวายไม่ยอมอาบน้ำ
เพราะลูกต้องการมีตัวตน ดังนั้นพ่อแม่ความคิดแบบที่ 2 จะใช้เหตุผลและมีความใจเย็นมากกว่าแบบความคิดที่
1 ค่ะ
เพื่อให้ลูกของเราก้าวร้าวน้อยลงหรือเข้าใจในสิ่งที่ตนเองทำค่ะ
เนื่องจากการหาจุดลงตัวระหว่าง “ฟังเสียงตนเอง” กับ “ฟังเสียงคนอื่น”
ในการมีตัวตนของลูกนั้นเป็นเรื่องที่ยากสำหรับเขาและเราต้องช่วยเหลือเขา
อาจจะค่อยกระทำให้เขารับรู้และคิดได้เอง
สรุป
เห็นไหมคะ
ว่าการแก้ปัญหาของลูกๆถ้าพ่อแม่สังเกตกันแทบจะไม่ต้องแก้ไขที่ตัวลูกเลยค่ะ
เพราะส่วนใหญ่แล้วล้วนเกิดจากการตัวของพ่อแม่เองทั้งนั้น
หากเราอยากให้ลูกเติบโตไปอย่างมีคุณภาพ และไว้ใจเรา ทำง่ายๆค่ะ
แค่เปลี่ยนมุมมองความคิดของเราเองนี่แหละ แล้วลูกก็จะรู้สึกได้เองค่ะว่าพ่อแม่คือพื้นที่ปลอดภัยสำหรับเขา
และเราก็จะไม่ต้องกังวลด้วยว่าลูกจะมีปัญหาอะไรรึเปล่า
การมองเห็นเป็นวิธีหนึ่งในการการเรียนรู้โลกค่ะ ยิ่งเห็นมากยิ่งสร้างโอกาสในการทำความเข้าใจ จดจำ และเรียนรู้สิ่งรอบตัวมากขึ้น เพราะฉะนั้นการได้ฝึกสายตาและการมองเห็นของลูกจะช่วยกระตุ้นพัฒนาการให้กับลูกได้
มาดูกันว่าคุณพ่อคุณแม่จะเล่นกับลูกแต่ละวัยอย่างไรเพื่อกระตุ้นสายตาลูก
0-6 month
ใช้ใบหน้าท่าทางเล่นกับลูก เช่น กระเดาะลิ้น กระพริบตา ทำปากออกเสียง อา อี อู เรียกความสนใจจากลูก แขวนโมบายรูปสัตว์ รูปทรงต่าง ๆ ห่างจากตัวลูกประมาณ 8-12 นิ้ว เพื่อกระตุ้นให้ลูกแหงนมองวัตถุที่เคลื่อนไหวไปมา ให้ลูกมองธรรมชาติรอบตัว เช่น พาลูกน้อยดูท้องฟ้า ต้นไม้ สัตว์ตัวเล็กตัวน้อย ในสวนหลังบ้านหรือสวนสาธารณะใกล้บ้าน อุ้มลูกมองภาพสะท้อนในกระจก พูดคุยกับลูก เรียกชื่อหรือบอกด้วยว่า นี่…คืออะไร จะเป็นการกระตุ้นการมองเห็นไปพร้อม ๆ กับการจดจำคำศัพท์ หาลูกบอลสีสันสดใส ขนาดเหมาะกับมือลูก โดยวางลูกบอลไว้ข้างหน้าลูกพร้อมกับส่งเสียงเชียร์ให้ลูกหยิบจับ ไขว่คว้าลูกบอล
6 month up
เล่นเกมจ๊ะเอ๋ ช่วยให้ลูกสนุกคึกคักอารมณ์ดี วัยนี้ลูกเคลื่อนไหวร่างกายได้คล่องขึ้น เหมาะกับการเล่นเกมซ่อนหา จะเป็นการกระตุ้นการใช้สายตาให้ทำงานประสานกับกล้ามเนื้อมัดเล็กและกล้ามเนื้อมัดใหญ่ เพิ่มความแข็งแรงให้แขนและขา ชวนลูกดูหนังสือภาพขนาดใหญ่ อักษรตัวโต…
ในช่วงขวบปีแรกการเคลื่อนไหวร่างกายเป็นไปตามพัฒนาการทางร่างกาย ถ้าส่งเสริมอย่างเหมาะสมก็จะทำให้ลูกน้อยมีพัฒนาการที่สมวัยคุณพ่อคุณแม่มีส่วนช่วยให้ลูกน้อยได้ออกกำลังกายในช่วงขวบปีแรกอย่างไรมาดูกันค่ะ
แรกเกิด - 3 เดือน
ช่วงแรกเกิดเด็กอาจทำได้แค่มองเห็นและขยับตัวไปตามธรรมชาติ ฉะนั้น เมื่อเหยียดแขน ขยับขา คุณแม่อาจหาของเล่นปลอดภัยให้ลูกลองสัมผัส จับ กำ ขยำ หรือแม้แต่เวลาที่คุณให้นมลูก แล้วให้ลูกเพลิดเพลินกับการจับ การกำนิ้วหรือจับใบหน้าของแม่ก็ได้ค่ะ
3 - 6 เดือน
เมื่อลูกพลิกคว่ำได้ ขณะลูกอารมณ์ดีให้จับลูกนอนคว่ำ ลูกจะหัดชัดคอขึ้น คุณแม่เอาของเล่นวางไว้ด้านหน้า เพื่อลูกจะหัดคว้า และขยับตัวมากขึ้น
6 - 9 เดือน
กล้ามเนื้อส่วนต่างๆ แข็งแรงมากขึ้น สามารถหยิบจับ คว้า กำสิ่งของได้นานขึ้น วิธีง่ายๆ คือ ให้ลูกหยิบ จับ ตักในการกินอาหารเข้าปากเอง เพื่อช่วยบริหารกล้ามเนื้อมือ และช่วยให้สายตากับมือทำงานประสานกัน อาจหาของเล่นเขย่า ของเล่นที่สามารถเข้าปากได้ หรือชวนลูกคืบตัวมาหาค่ะ
9 - 12 เดือน
การเคลื่อนไหวของเด็กวัยนี้ดีขึ้นตามลำดับ คลาน ทรงตัวนั่ง และพัฒนาไปสู่การเกาะยืน จนกระทั่งเดินได้เอง…
ในยุคปัจจุบันดูเหมือนว่าเด็กกับสมาร์ทโฟนจะกลายเป็นของคู่กันอย่างหลักเลี่ยงได้ยาก พ่อแม่หลายบ้านที่อดใจไม่ไหวหยิบยื่นโทรศัพท์มือถือให้ลูกเพื่อแลกกับความสุขสงบ แลกกับการที่ลูกยอมทานอาหาร หรือแลกกับการทาภารกิจอื่นๆในชีวิตประจาวัน การปล่อยเด็กไว้กับจอทีวีหรือจอมือถือนั้นจะส่งผลเสียทั้งในด้านพัฒนาการของสมองและร่างกาย เหล่ากุมารแพทย์จึงต่างพากันออกมาเตือนถึงภัยของการใช้สมาร์ทโฟนที่มากเกินไปสาหรับวัยเด็ก โดยสมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทยและสหรัฐอเมริกาประกาศไว้ว่า เด็กอายุน้อยกว่า 2 ปีไม่ควรใช้อุปกรณ์อิเล็คทรอนิคทุกชนิด เพราะเด็กจะขาดโอกาสพัฒนาทักษะการสื่อสารและปฏิสัมพันธ์ทางสังคม
สร้างคุณค่า ในตัวเอง หรือ Self Esteem มีความสำคัญอย่างมากในการดำรงชีวิต
โดยเราสามารถเสริมสร้างให้ลูกของเราสามารถมองเห็นคุณค่าในตัวเองได้ตั้งแต่เล็กๆเลยค่ะ
เมื่อเขาเติบโตจะได้เป็นบุคคลที่มีประสิทธิภาพ มีความคิดที่ดี มองโลกในแง่บวก
และสามารถดำเนินชีวิตผ่านไปได้ในแต่วันด้วยดีค่ะ
สร้างคุณค่า แค่ “ลด & เพิ่ม” เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นให้แก่ลูก
เราสามารถสร้างคุณค่าให้แก่ลูกน้อยได้ง่ายๆเลยค่ะ
แค่… “ลดการช่วยเหลือ”
โดยเริ่มต้นจากเรื่องเล็กๆที่ใกล้ตัวเราและลูกได้เลยค่ะ เช่น
ปล่อยให้ลูกสวมใส่เสื้อผ้าเอง โดยที่ไม่ต้องมีคนช่วย
แบบนี้พอลูกทำสำเร็จเราก็ชมเขาค่ะ
ว่าเก่งมากเลยใส่เสื้อผ้าเองได้แล้ว
จะช่วยให้ลูกมองตัวเองค่ะว่าเขาก็สามารถทำอะไรได้ประสบความสำเร็จได้เหมือนกัน
การให้ลูกแสดงความคิดเห็น
การที่คุณพ่อคุณแม่ถามความคิดเห็นของลูกเป็นสิ่งที่ดีมากเลยค่ะ
เพราะจะเป็นการกระตุ้นให้เขาสามารถเสนอความคิดเห็น
อีกเป็นความคิดเห็นที่ต่างจากมุมมองของผู้ใหญ่แล้วยิ่งดี
จะช่วยให้เขาสามารถแก้ไขปัญหาได้เอง ตัดสินใจอะไรต่างๆได้เอง โดยที่ไม่ต้องพึ่งคนอื่นเลยค่ะ
ข้อดีของการสร้างคุณค่าให้แก่ลูก
ทำให้ลูกๆสามารถแก้ไขอุปสรรคได้ดี ในยามที่มีปัญหา มีทัศนคติที่ดี มีความนับถือและเคารพตนเอง ทำให้ชีวิตมีความสุข มีความกล้าแสดงออกต่อหน้าผู้คน เป็นมิตรกับผู้คนรอบข้าง และเป็นที่รักของผู้คน รักในศักดิ์ศรีของตนเอง มีความเสียสละเพื่อส่วนร่วม มีจิตใจดี
สรุป
การสร้างคุณค่าให้แก่ลูกแต่เด็กๆ
เราว่าเป็นสิ่งที่หลายบ้านละเลยอย่างมากเลยค่ะ จริงๆแล้วถือเป็นเรื่องใหญ่เลยนะ
เพราะ ถ้าหากลูกของเราเติบโตไปจะต้องเผชิญหน้ากับปัญหามากมายด้วยตนเอง หากภูมิคุ้มกันในเรื่องนี้ต่ำแล้วละก็
กลัวลูกๆจะไม่มีความมั่นใจในตนเองและปัญหาสุขภาพจิตตามมาจนพ่อแม่เป็นห่วงน่ะสิคะ
เนื่องจากเราไม่สามารถเลี้ยงดูเขาไปได้ตลอดหรอกค่ะ เหมือนถึงเวลาจริงๆก็ต้องปล่อย
เรื่องนี้จึงเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่พ่อแม่ต้องดูแลและใส่ใจลูกๆของตนเอง
แล้วเด็กที่มีอายุมากกว่า…
เมื่อแรกคลอดเด็กทารกอาจมีภาวะตัวเหลืองได้ค่ะ ซึ่งอาการดังกล่าวจะพบได้มากที่สุดในเด็กทารกโดยประมาณ 60-70% ทั้งในทารกอายุครรภ์ครบกำหนดและคลอดก่อนกำหนด ทั้งนี้จะสังเกตเห็นได้จากการมีสารตัวเหลืองที่ผิวหนังหรือเยื่อบุตาขาว
สาเหตุของอาการตัวเหลือง
เกิดก่อนกำหนด <37 สัปดาห์ หมู่เลือดแม่และลูกไม่เข้ากัน เหลืองจากเม็ดเลือดแดงแตกตัว เช่น พร่องเอนไซม์ G6PD ภาวะเม็ดเลือดแดงมากเกินไป มีรอยฟกช้ำจากการคลอด มีจุดจ้ำแดงที่ผิวหนัง หรือมีการติดเชื้อ มีภาวะลำไส้อุดตัน ท่อน้ำดีอุดตันแต่กำเนิด ฯลฯ
การดูแลลูกเมื่อตัวเหลือง
ควรป้อนนมบ่อยขึ้นทุก 3 ชั่วโมง ประมาณ (8 มื้อ/วัน) เพื่อให้ลูกน้อยได้ขับถ่ายสารตัวเหลืองออกจากร่างกาย ประเมินภาวะตัวเหลือง โดยสามารถใช้นิ้วกดดูสีผิวที่อยู่ใต้ผิวหนังหรือกดตรงปุ่มกระดูก ทำในห้องที่แสงสว่างเพียงพอ
ถ้าพบว่าลูกมีอาการตัวเหลืองมากหรือเพิ่มมากขึ้นให้รีบพาไปหาคุณหมอทันที เพื่อตรวจดูสารตัวเหลืองในร่างกายค่ะ ซึ่งวิธีการรักษาจะมี 3 แบบด้วยกันคือ การส่องไฟ การเปลี่ยนถ่ายเลือด และการใช้ยาค่ะ
ข้อมูลอ้างอิง : บทความ “ปัญหาที่พบบ่อยในเด็กแรกเกิด” โดย พญ.นภาไพลิน เศรษฐพานิช แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกุมารเวชกรรมทั่วไป ประจำแผนกกุมารเวชกรรม โรงพยาบาลเปาโล สมุทรปราการ
Mother & Care Free…
ลูกแหวะนมเป็นปัญหาที่พบเห็นได้ทั่วไปค่ะ สาเหตุที่ลูกน้อยชอบแหวะนมบ่อย ๆ เนื่องจากระบบการย่อยของเขายังไม่สมบูรณ์ กล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่อยู่ระหว่างหลอดอาหารและกระเพาะอาหารอาจยังปิดไม่สนิท การกินนมเยอะก็จะทำให้เกิดอาการได้มากเช่นกัน อาการมักจะเกิดขึ้นระหว่างที่เรอหรือทันทีที่กินนม ซึ่งเด็กแต่ละคนมีความแตกต่างกันเป็นเรื่องปกติ ไม่มีผลกระทบต่อสารอาหารที่ลูกจะได้รับ เพราะแม้ลูกจะแหวะนม แต่ก็ยังเติบโตและแข็งแรงดี
การดูแลและป้องกันปัญหาแหวะนม
พยายามอุ้มลูกน้อยอย่างอ่อนโยนและจับลูกเรอหลังกินนม วิธีจับลูกเรอ คือให้ลูกอยู่ในท่านั่งตรงบนตัก และใช้มือหนึ่งประคองอกของลูก เอนตัวลูกไปข้างหน้าเล็กน้อย และอีกมือตบหลังลูกเบาๆ หรือลูบเป็นวงกลมเพื่อกระตุ้นการเรอ ใช้วิธีอุ้มพาดบ่า พาเดินเที่ยว โดยทิ้งระยะหลังลูกกินนมอิ่มซักพัก ให้ลูกอยู่ในท่าตั้งตรงและค่อยๆ ลูบหลัง พยายามอย่าเปลี่ยนผ้าอ้อมในช่วงที่ลูกกำลังอิ่ม ให้กินนมทีละน้อย แต่บ่อยครั้งขึ้น จัดให้นอนศีรษะสูงเล็กน้อยในท่าตะแคง
การดูแลอย่างถูกวิธีจะช่วยลดปัญหาการแหวะนมของลูกได้ไม่ยากค่ะ
ข้อมูลอ้างอิง : บทความ “ปัญหาที่พบบ่อยในเด็กแรกเกิด” โดย พญ.นภาไพลิน เศรษฐพานิช แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกุมารเวชกรรมทั่วไป ประจำแผนกกุมารเวชกรรม โรงพยาบาลเปาโล สมุทรปราการ
Mother & Care Free Mag VOL.12 NO.136
การสร้างนิสัยให้ลูกกินข้าวหมดจาน เป็นการฝึกให้เด็ก ๆ ตักข้าวแต่พอดี ฝึกเรื่องวินัยการกิน การกินข้าวอย่างใส่ใจไม่เหลือทิ้ง ยังช่วยส่งเสริมให้ลูกเห็นคุณค่าของอาหารด้วยค่ะ
การจะฝึกให้ลูกกินได้หมดจาน ทำอย่างไรเรามี 3 วิธีมาบอกต่อ
รู้คุณข้าว….เราต้องสอนลูก
คุณพ่อคุณแม่รู้จักคุณค่าของข้าวแล้วยังสามารถสอนลูกได้ค่ะ อธิบายให้ลูกฟังว่าข้าวเป็นอาหารหลักของคนไทย ทั้งมีประโยชน์และมีราคาสูงขึ้นทุกวัน การสอนให้ลูกกินข้าวหมดจานยังใช้เป็นแนวทางในการต่อยอดความคิดกินอยู่แบบพอเพียงให้กับเด็ก ๆ ลดการสูญเสียทรัพยากรโดยเปล่าประโยชน์ ลดการกำจัดขยะลดมลพิษ ช่วยลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นสาเหตุของสภาวะโลกร้อนอีกด้วย
ฝึกคุณหนูหม่ำหมดจาน
step 1
เริ่มจากคุณพ่อคุณแม่ฝึกให้ลูกกินเป็นเวลา โดยกำหนดเวลาอาหารให้ชัดเจน ใส่ใจในสัดส่วนอาหารที่เหมาะสม เปลี่ยนเมนูอาหารให้หลากหลาย เตรียมอาหารให้มีขนาดชิ้นเล็กพอดีคำ เคี้ยวง่าย
step 2
ฝึกให้ลูกตักอาหารเอง ฝึกให้ระบุปริมาณอาหารที่ต้องการ หรือรู้จักบอกว่ามากเกินไปหรือน้อยเกินไป ขอเพิ่มหรือขอลดรู้จักความพอดีในการกิน เมื่อกินหมดลูกจะมีความภูมิใจ ไม่กินเหลือ คุณแม่ไม่ต้องบังคับให้กินจนหมดจาน
step 3
พ่อแม่ต้องไม่กินอาหารแบบทิ้งขว้าง เป็นตัวอย่างที่ดี อย่าบังคับให้ลูกกินถ้าลูกไม่หิว เด็กมีความอยากอาหารในแต่ละวันแต่ละมื้อไม่เท่ากัน จึงไม่ควรคาดหวังให้ลูกกินได้หมดเหมือนกันทุกมื้อ
Tips : ชื่นชมหรือให้กำลังใจลูกทุกครั้งที่ลูกกินจนหมด ช่วยให้ลูกมีแรงจูงใจสร้างนิสัยในการคิดก่อนจะกินก่อนจะใช้มากขึ้น
เพื่อให้ลูกเป็นเด็กรักผัก เรามีเคล็ดลับง่าย ๆ ที่จะช่วยให้มื้อผักที่เด็ก ๆ เอาแต่ส่ายหน้า มาเป็นอ้าปากอ้ำแต่โดยดีกันค่ะ การกินของลูกจะสนุกหากคุณแม่ไม่เคร่งครัดเกินไป ทำให้เป็นเรื่องท้าทาย น่าลอง ทำด้วยความสุขจาก 4 วิธีนี้ค่ะ
1.สร้างความสนุกกับเรื่องผัก สมมติให้ลูกเป็นฮีโร่ เป็นสัตว์ตัวน้อยที่กินผัก เช่น กระต่ายน้อยชอบแครอต เป็นต้น
2.ดัดแปลงรูปแบบการปรุง นำผักที่คุณแม่อยากให้ลูกลิ้มลอง มาปั่นเป็นเนื้อเดียวกับผลไม้ เช่น แคนตาลูป, แอปเปิ้ล แล้วเติมความสดชื่นด้วยน้ำแข็งค่ะ
3.สลับสับเปลี่ยนให้ลูกลองเมนูผัก ที่ไม่จำเจกับชนิดใดชนิดหนึ่ง เพื่อให้ลูกได้รู้จักกับผักหลากหลายชนิด
4.ให้คำชม แสดงความชื่นชม เป็นรางวัล ลูกจะยิ่งรู้สึกดีกับการกินและชื่นชอบเมนูผัก
แรก ๆ ลูกอาจปฏิเสธเมนูที่คุณแม่ทำ อย่าเพิ่งท้อ ค่อย ๆ ให้ทีละนิดทีละหน่อย ทำบ่อยครั้ง สักพักลูกก็จะคุ้นเคยเริ่มถูกใจเมนูผักบ้างแล้วละค่ะ
การฝึกลูกขับถ่ายต้องอาศัยเวลา ความเข้าใจ ความอดทนของคุณแม่เป็นหลัก มีเทคนิคดี ๆ ที่คุณแม่ควรทำมาฝาก 5 ข้อค่ะ
1.Do : เข้าใจพัฒนาการ
การควบคุมการขับถ่าย ขึ้นอยู่กับความพร้อมของกล้ามเนื้อหูรูดและสมองส่วนที่ควบคุมประสาทสัมผัส นักจิตวิทยาเด็กพบว่าช่วงที่ประสบความสำเร็จ คือ ช่วงที่ลูกเริ่มให้ความสนใจในการขับถ่าย จึงจะสามารถฝึกได้ดี
2.Do : ชมเชยและให้กำลังใจ
เมื่อลูกบอกความต้องการขับถ่าย ควรชมและให้กำลังใจลูกทุกครั้งที่ลูกบอกได้ก่อน หรือแม้แต่เมื่อลูกบอกหลังจากฉี่หรืออึไปแล้วก็ควรชม เพราะอย่างน้อยเหล่านี้ก็แสดงถึงความรับผิดชอบต่อตนเองของลูก
3.Do : ใส่ชุดถอดง่าย
ใช้ผ้าอ้อมกับลูกให้น้อยที่สุด แล้วหันมาใส่กางเกงเอวยางยืดให้ลูกถอดได้ง่าย ลูกจะได้ถอดเองทันเวลา หรือจัดการเปลี่ยนได้เร็วขึ้น การหากางเกงที่ถอดใส่ได้ง่าย จะทำให้ลูกภูมิใจที่ช่วยเหลือตัวเองได้ในเรื่องนี้ค่ะ
4.Do : สังเกตอาการ
คอยสังเกตอาการเวลาลูกต้องการขับถ่าย ลูกอาจแสดงสีหน้าท่าทางหรือคำพูด ส่วนใหญ่ลูกจะบอกว่าฉี่ไม่ค่อยทัน ปัสสาวะออกมาแล้วถึงค่อยบอกให้รู้ แต่ถ้าปวดอุจจาระจะบอกทัน
5.Do : ฝึกลูกพึ่งตัวเอง
การฝึกให้ลูกเข้าห้องน้ำเอง กดชักโครกเอง ตักราดเอง ถอดเสื้อผ้ากางเกงเอง โดยเตรียมเสื้อผ้ากางเกงที่ใส่ได้ง่ายๆ ให้ลูกด้วย…
การควบคุมการขับถ่ายเป็นความสามารถหนึ่งในพัฒนาการของเด็ก ซึ่งต้องอาศัยความพร้อมทางด้านร่างกายและจิตใจ การฝึกจากพ่อแม่ สิ่งแวดล้อมและประสบการณ์ของเด็กค่ะ
เด็กแต่ละคนมีความพร้อมที่แตกต่างกัน ฉะนั้นถ้าจะฝึกลูกให้ขับถ่ายได้ดีคุณพ่อคุณแม่ไม่ควรทำ 5 ข้อนี้นะคะ
1.Don’t : อย่าเร่งรัดหรือบังคับ
อย่าใจร้อนเร่งรัดให้ลูกขับถ่ายเร็ว ๆ เพราะถ้ากล้ามเนื้อส่วนที่ถูกควบคุมการขับถ่ายยังไม่พร้อม ก็จะไม่ประสบความสำเร็จยิ่งมีท่าทีบังคับ ลูกก็จะยิ่งกลั้นไว้ ทำให้ลูกเป็นทุกข์ และมีปัญหาในการขับถ่ายตามมา
2.Don’t : อย่าลงโทษ
เพราะการลงโทษ การดุว่าหรือตีลูก มีแต่จะทำให้เกิดการต่อต้าน ดื้อรั้น เกิดความกลัว ความโกรธ ไม่ยอมขับถ่าย ควรใช้การให้รางวัล การชมเชย และให้กำลังใจจะดีกว่า
3.Don’t : อย่าคาดหวัง
อย่าคาดหวังจริงจังกับการฝึกขับถ่ายจนกว่าลูกจะครบ 2 ขวบ เมื่อถึงวัยนี้เด็กจะควบคุมการขับถ่ายได้ค่อนข้างดี ขับถ่ายเป็นเวลาในช่วงกลางวัน บอกหรือแสดงอาการให้รู้ว่าต้องการขับถ่ายได้ ส่วนการควบคุมการปัสสาวะมักทำได้ในภายหลัง
4.Don’t : อย่าลืมเข้าห้องน้ำ
เมื่อลูกดื่มนมก่อนนอน ควรพาเข้าห้องน้ำให้เคยชินเป็นนิสัย หรือไม่ว่าจะเวลาใดก็ตามเมื่อลูกปัสสาวะไปได้สัก 2 ชม. ควรพาเข้าห้องน้ำ เพื่อลดปัญหาปัสสาวะรดกางเกงหรือที่นอน
5.Don’t : อย่าสนใจแต่น้อง…