Skip to content Skip to sidebar Skip to footer

Knowledge

หอม จูบ อันตรายถึงชีวิตทารก !

ข่าวคราวเด็กทารกมีอาการป่วยอย่างรุนแรงบางรายถึงขั้นเสียชีวิตเพราะติดเชื้อจากการหอมหรือจูบจากผู้ใหญ่เกิดขึ้นเป็นระยะล่าสุดคุณแม่ชาวอเมริกันอบิเกล โรสผู้สูญเสียลูกสาวอายุพียง 8 วันไปเมื่อเดือนพฤษภาคม 2018 หลังจากผ่านการทำใจเป็นเวลาหลายเดือน เธอจึงเผยแพร่เรื่องราวลงเฟซบุ๊กเพื่อเป็นข้อเตือนใจคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกวัยทารกตามข่าวเด็กหญิงรับเชื้อจากคนที่มีเชื้อเริมมาจูบ เชื้อโรคจึงเข้าไปทำลายกระดูกสันหลัง ปอด และสมอง เรื่องน่าเป็นห่วงก็คือคนที่เป็นโรคเริมอาจไม่แสดงอาการของโรคแต่สามารถแพร่เชื้อได้ เพราะฉะนั้นการแสดงความเอ็นดูจึงต้องอดใจไม่หอมไม่จูบเด็กทารกค่ะสาเหตุที่เชื้อไวรัส HSV-1 สาเหตุของโรคเริมดูเหมือนจะไม่ใช่โรคร้ายแรงสำหรับผู้ใหญ่ แต่กลับอันตรายต่อทารกช่วงวัยแรกเกิดเนื่องจากภูมิคุ้มกันในวัยนี้ยังไม่แข็งแรงเพียงพอ เมื่อรับเชื้อโรคนี้เข้าไปอาจมีอาการรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตนอกจากเริมแล้ว การหอม จูบ หรืออุ้มเด็กโดยได้ไม่ล้างมือยังทำให้เด็กมีโอกาสติดเชื้อได้หลายชนิด เช่น ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ มือเท้าปาก RSV และอีกหลายต่อหลายโรคเพื่อความปลอดภัยของลูกวัยทารก 1.ก่อนอุ้มเด็กควรล้างมือฟอกสบู่ให้สะอาด 2.ไม่ควรจับใบหน้าเด็ก 3.ไม่ควรหอมแก้มหรือจูบทารก แม้ตัวคุณแม่เองก็ตามโดยทั่วไปเรามักเข้าใจว่าเด็กทารกไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น แค่หอมแค่จูบจะเป็นอะไรไปได้ เด็กอื่นอีกตั้งมากมายไม่เห็นจะเป็นอะไร ข่าวนี้คือคำตอบค่ะ คุณแม่ที่ไม่ให้ใครมาหอมจูบลูกวัยทารก อาจจะเว่อร์เกินไป ดูน่าหมั่นไส้อนามัยจ๋า แต่คุณแม่ทำถูกแล้วค่ะ ป้องกันไว้ก่อน ไม่มีอะไรเว่อร์ไปสำหรับความปลอดภัยของลูกน้อย 

Read more

5 วิธีดูแลสะดือเบบี๋ง่ายมาก ๆ

สะดือของเด็กแรกเกิดเป็นสิ่งที่ต้องดูแลอย่างพิถีพิถัน ต้องหมั่นสังเกตความเปลี่ยนแปลง และทำความสะอาดอย่างถูกวิธีค่ะสะดือแฉะ : สะดือไม่แห้งหรือมีน้ำหยดจากสะดือเวลาทารกร้องหรือเบ่ง เป็นน้ำสีเหลืองหรือเขียวและอาจมีเลือดออกซิบ ๆ สะดืออักเสบ : บริเวณรอบๆ ขั้วสะดือบวมแดงและร้อนและเด็กร้องกวน เมื่อดมดูจะได้กลิ่นเหม็นผิดปกติ เลือดออกทางสะดือ : เมื่อเอาสำลีซับจะมีเลือดติดออกมา อาจจะมีก้อนเนื้อแดงเรื่อขนาดเท่าถั่วแดงอยู่ในสะดือ สะดือโป่ง สะดือจุ่น : เด็กบางคนเมื่ออายุใกล้จะ 1 เดือน สะดือจะโป่งออกมา โดยเฉพาะเด็กร้องเก่ง การร้องจะเป็นตัวเร่งทำให้สะดือโป่งมากขึ้น ถ้าขนาดที่โป่งออกมาไม่ใหญ่จนเกินไป อาการนี้จะหายไปเองตามธรรมชาติ ตามปกติสะดือจะยุบไปเองภายใน 2-3 เดือน แต่บางคนอาจถึง 1 ปีสะดือโป่ง สะดือจุ่น : เด็กบางคนเมื่ออายุใกล้จะ 1 เดือน สะดือจะโป่งออกมา โดยเฉพาะเด็กร้องเก่ง การร้องจะเป็นตัวเร่งทำให้สะดือโป่งมากขึ้น ถ้าขนาดที่โป่งออกมาไม่ใหญ่จนเกินไป อาการนี้จะหายไปเองตามธรรมชาติ ตามปกติสะดือจะยุบไปเองภายใน…

Read more

7 พฤติกรรมพ่อแม่ทำร้ายลูก

บางครั้งคุณพ่อคุณแม่อาจไม่รู้ตัวว่าสิ่งที่พูดหรือการแสดงออก เป็นการทำร้ายจิตใจลูก เมื่อเกิดขึ้นบ่อยครั้งก็ส่งผลต่อบุคลิกภาพของลูกน้อย มาสำรวจกันค่ะว่าพฤติกรรมไหนเข้าข่ายบ้าง1.ไม่ให้ทำอะไรเองพ่อแม่คือผู้จัดการ บริหารทุกสิ่งอย่าง โดยที่ลูกไม่ได้มีส่วนร่วมหรือได้ลงมือทำอะไรเลย การทำแบบนี้เท่ากับเป็นการตัดโอกาสการเรียนรู้ของเด็ก ทำให้โรคขาดทั้งทักษะการช่วยเหลือตัวเอง และความมั่นใจในตัวเอง2. ไม่ปกป้องเรื่องความปลอดภัย มีสถิติตัวเลขอุบัติเหตุสูงเพิ่มขึ้น ซึ่งเกิดจากการไม่ทันระมัดระวัง เช่น ลืมปิดประตูบ้าน ไม่ได้เก็บสิ่งของเป็นอันตรายพ้นมือเด็ก คุยโทรศัพท์หรือใช้โซเชียลเน็ตเวิร์คเพลินจนลืมดูลูก3. ไม่ยืดหยุ่นเพราะต้องการให้ทุกอย่างเป๊ะเว่อร์ตลอด ลูกทำไม่ได้ดังใจก็โกรธ ตำหนิ เรื่องเล็ก ๆ ทำให้เป็นเรื่องใหญ่ ลูกจะรู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่า ไม่มีอะไรดี ไม่มีความสามารถ เพราะทำอะไรไม่เคยถูกใจพ่อแม่4.เลี้ยงลูกแบบไข่ในหินการที่แม่ ๆ ปกป้องมากเกินไป วิตกกังวลเกินกว่าเหตุ ห่วงเรื่องอุบัติเหตุ กลัวจะถูกหลอก กลัวลูกไม่สบาย ลูกจึงไม่ค่อยได้ทำอะไร ลูกมักจะเป็นเด็กวิตกกังวลได้ง่าย หวาดกลัวจนไม่มีความสุข และขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง5. ไม่มีขอบเขตตามใจลูกทุกอย่าง โดยลืมนึกถึงอะไรควรไม่ควร ด้วยความคิดที่ว่าลูกยังเด็ก ผลคือ เมื่อลูกออกสู่สังคม อยู่ร่วมกับผู้อื่น ก็กลายเป็นเด็กปรับตัวยาก เอาแต่ใจตัวเอง ขาดความอดทน ความสัมพันธ์กับคนอื่นไม่ราบรื่น6. ไม่ชื่นชมถ้าคุณพ่อคุณแม่มีแต่คำตำหนิติเตียน ไม่เชื่อว่าลูกจะทำสำเร็จ นอกจากทำร้ายจิตใจลูกแล้วยังทำลายความคิดดี ๆ ของลูก ทำให้ขาดความมั่นใจ ความภูมิใจในตัวเอง7. ไม่เข้าใจลูกถ้าคิดว่าทำไมลูกไม่เก่งควรเปลี่ยนวิธีคิดค่ะ ความจริงแล้วเด็กแต่ละคนมีบุคลิก…

Read more

ครอบครัวธรรมดาทั่วไปควรมีเงินเก็บเท่าไหร่ดี ?

Q : ครอบครัวธรรมดาทั่วไปควรมีเงินเก็บเท่าไหร่ดี ?A : สมมติว่าครอบครัวธรรมดาครอบครัวนึงคุณพ่อคุณแม่ต่างก็ทำงาน มีลูก 1 คน รายได้เท่าไหร่ก็ตามควรมีเงินเก็บไว้อย่างน้อย 6 เท่าของเงินเดือน ถ้าจะให้ดีก็ 12 เดือนหรือ 1 ปี เพื่อบริหารความเสี่ยงในกรณีที่ 1 ตกงาน กรณีที่ 2 ค่าใช้จ่ายฉุกเฉินที่อยู่ดี ๆ ต้องจ่าย เช่น ลูกได้รางวัลบินไปชิงทุนต่างประเทศ ถ้าต้องการสนับสนุนเขาเราก็ต้องมีเงินสำรองไว้ให้ลูกเรา"เงินนอกเหนือจากส่วนนี้ เอาไปลงทุนอยู่ในสินทรัพย์หรืออยู่ในเงินฝากที่ให้ผลงอกเงยมากกว่าฝากออมทรัพย์ธรรมดา""เวลาวางแผนการเงิน คุณแม่อย่าวางแผนค่าใช้จ่ายครับเราต้องวางแผนรายได้ คุ้มครองรายได้เรา การวางแผนคุ้มครองรายได้เราทั้งหมดนั่นหมายความว่าเราคุมค่าใช้จ่ายได้ แต่ถ้าเราวางแผนค่าใช้จ่ายอย่างเดียวถ้าเกิดมีค่าใช้จ่ายฉุกเฉินขึ้นมา อาจไม่มีใครสามารถช่วยเหลือเราได้นอกจากตัวเราเอง""สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือสุขภาพเรา อยากบอกคุณพ่อคุณแม่ว่าทำงานเก็บเงินแล้วไม่อยากให้สุดท้ายแล้วเงินของเราต้องหมดไปกับการทุ่มเทรักษาตัวเองป่วย เพราะฉะนั้นต้องดูแลสุขภาพด้วย ต้องวางเพื่อตัวเองแล้วก็เพื่อลูกด้วย""อาจจะแยกเก็บเงินเป็นส่วน ๆ สมมติให้เป็นขวดโหลจะได้เห็นภาพ เช่นขวดโหลที่ 1 เป็นของลูก ขวดโหลที่ 2 เอาไว้เที่ยวหรือช้อปปิ้ง ขวดโหลที่ 3 เพื่อค่าใช้จ่ายประจำ เช่น ค่างวดรถ ค่าบ้าน ขวดโหลที่ 4ใช้จ่ายปกติทั่วไปอาจจะเปิดไว้สัก 3-4 บัญชีแล้วเราโอนเงินเข้าไป ได้เงินมาปุ๊บโอนไปก่อนเลย เดี๋ยวนี้โอนไม่มีค่าธรรมเนียมแล้วสะดวกมากขึ้น ที่เหลือค่อยใช้จ่าย…

Read more

ปัญหาที่พบบ่อยในเด็กแรกเกิด

เมื่อแรกคลอดเด็กทารกมักมีปัญหาที่พบได้บ่อยค่ะ คุณพ่อคุณแม่ศึกษาอาการต่าง ๆ เหล่านี้ไว้เพื่อเตรียมพร้อมในการดูแลลูกรักค่ะภาวะตัวเหลืองพบได้มากที่สุดในเด็กทารกโดยประมาณ 60-70% ทั้งในทารกอายุครรภ์ครบกำหนดและคลอดก่อนกำหนดทุกราย ทั้งนี้จะเห็นสารตัวเหลืองที่ผิวหนังหรือเยื่อบุตาขาวสาเหตุเกิดก่อนกำหนด <37 สัปดาห์ หมู่เลือดแม่และลูกไม่เข้ากัน เหลืองจากเม็ดเลือดแดงแตกตัว เช่น พร่องเอนไซม์ G6PD ภาวะเม็ดเลือดแดงมากเกินไป มีรอยฟกช้ำจากการคลอด มีจุดจ้ำแดงที่ผิวหนัง หรือมีการติดเชื้อ มีภาวะลำไส้อุดตัน ท่อน้ำดีอุดตันแต่กำเนิด ฯลฯการดูแลควรป้อนนมบ่อยขึ้นทุก 3 ชั่วโมง ประมาณ (8 มื้อ/วัน) เพื่อให้ลูกน้อยได้ขับถ่ายสารตัวเหลืองออกจากร่างกาย ประเมินภาวะตัวเหลือง โดยสามารถใช้นิ้วกดดูสีผิวที่อยู่ใต้ผิวหนังหรือกดตรงปุ่มกระดูก ทำในห้องที่แสงสว่างเพียงพอ ถ้าพบว่า ลูกมีอาการตัวเหลืองมากหรือเพิ่มมากขึ้นให้มาพบหมอทันที เพื่อตรวจดูสารตัวเหลืองในร่างกายการรักษาตัวเหลือง ในทารกแรกเกิดทำได้ 3 แบบคือ การส่องไฟ, การเปลี่ยนถ่ายเลือด และการใช้ยาอาการแหวะนมสาเหตุ ที่ลูกน้อยชอบแหวะนมบ่อย ๆ เนื่องจากระบบการย่อยยังไม่สมบูรณ์ กล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่อยู่ระหว่างหลอดอาหารและกระเพาะอาหารอาจยังปิดไม่สนิท ประกอบกับการกินนมเยอะก็จะทำให้เกิดอาการได้มาก…

Read more

7 วิธีฝึกให้ลูกเก็บของเล่นเอง

ของเล่นของลูกกระจัดกระจายทั่วบ้านราวกับระเบิดลงทุกวัน การเก็บของเล่นกลายเป็นอีกงานหนึ่งที่คุณแม่ต้องจัดการการสอนให้ลูกเก็บของเล่นเองเป็นการสอนให้เขาเรียนรู้หลายด้านค่ะ ทั้งระเบียบวินัย การดูแลรักษาของ ความรับผิดชอบ การทำอะไรเองเป็นยังช่วยให้ลูกพึ่งพาตัวเองได้ตอนโตการสอนลูกไม่ยากค่อย ๆ ฝึกเขาค่ะ1.ช่วยกันเก็บก่อน เด็กเล็กอาจเก็บคนเดียวไม่ไหว เพราะยากเกินความสามารถ คุณแม่ชวนลูกเก็บก่อนค่ะ ทำให้การเก็บของเล่นเป็นเรื่องสนุก เป็นเกมอย่างหนึ่งที่ต้องเล่นปิดท้ายเสมอ2.จัดเก็บเป็นหมวดหมู่ ไม่ต้องแยกหลายหมวดหมู่เกินไปลูกจะงง การแยกเก็บเป็นหมวดหมู่ทำให้ไม่ต้องเก็บของเล่นคราวละมาก ๆ เพราะลูกมักจะเลือกชิ้นที่ตัวเองชอบ นอกจากนี้ยังฝึกการแยกแยะให้ลูก คุณแม่ใช้ลิ้นชัก ลังพลาสติก หรือถังพลาสติกก็ได้ค่ะ แยกสีแต่ละลังให้ชัดเจนตกแต่งหรือแปะสติ๊กเกอร์ อาจสมมติแต่ละถังเป็นพี่ฮิปโป พี่ปลาวาฬ พี่จระเข้ ฯลฯ หิวข้าวแล้วต้องป้อนของเล่นให้หม่ำก่อน3.เก็บของเล่นเป็นเวลา ตอนเย็นก่อนลูกอาบน้ำหม่ำข้าวเย็น พยายามให้ลูกเก็บในเวลาเดิมทุกวัน เพื่อสร้างความคุ้นเคย และเป็นส่วนหนึ่งของกิจวัตรประจำวัน ความเคยชินช่วยให้ลูกทำได้โดยอัตโนมัติ4.หลอกล่อด้วยกิจกรรมสนุก ลูกกำลังสนุกกับการเล่น แต่คุณแม่มักจะให้เขาเก็บของเพื่อไปทำกิจกรรมน่าเบื่อ ไม่มีใครอยากทำหรอกค่ะ เพราะฉะนั้นกิจกรรมต่อจากการเก็บของเล่นควรมีความสนุกเพื่อกระตุ้นให้ลูกเก็บค่ะ5.เล่านิทาน คุณแม่อาจจะหาซื้อหนังสือนิทานหรือแต่งนิทานเล่าให้ลูกฟัง มีตัวเอกเป็นตัวละครหรือสัตว์น่ารักที่ลูกชอบ เล่าถึงตัวละครตัวโปรดนิสัยดี มีระเบียบ เล่นของเล่นแล้วเก็บก็ได้ค่ะ6. บ้านต้องเป็นระเบียบด้วย ลูกเรียนรู้จากสิ่งแวดล้อมรอบตัว มองไปทางไหนทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง คุณแม่ใช้ของแล้วเก็บเข้าที่ ลูกก็จะเรียนรู้สิ่งนี้ไปเอง7.ให้รางวัลเมื่อลูกทำได้ดี บางครั้งใช้รางวัลล่อใจได้บ้างค่ะ ถ้าเขาทำได้ดี อาจจะเป็นการชมเชยหรือให้ตามข้อเรียกร้องบางอย่างเป็นพิเศษ เวลาเจอคนอื่นคุณแม่พูดชมเขาให้คนอื่นฟังด้วยนะคะ ลูกจะภูมิใจและพยายามทำดีต่อไปอดทนใช้เวลาสักนิด ฝึกลูกอย่างสม่ำเสมอ เขาจะเรียนรู้การเก็บของเล่นให้เป็นระเบียบได้ในที่สุดค่ะ

Read more

พาลูกไปเรียนว่ายน้ำเมื่อไหร่ดี

สาเหตุอันดับ 1 ของการเสียชีวิตในเด็กก็คืออุบัติเหตุจมน้ำ คุณพ่อคุณแม่หลายคนทราบดีจึงต้องการให้ลูกว่ายน้ำเป็นเพื่อความปลอดภัยของลูก แต่อายุเท่าไหร่จึงจะเหมาะสมในการเรียนว่ายน้ำ ควรจะเริ่มตั้งแต่วัยเบบี๋เลยหรือเปล่า เพราะเรามักจะเห็นภาพหรือคลิปหนูน้อยในวัยทารกเริ่มหัดว่ายน้ำกันแล้วเริ่มตอน 4 ขวบThe American Academy of Pediatrics หรือสมาคมกุมารแพทย์สหรัฐฯ มีคำแนะนำว่า เด็กในวัย 4 ขวบขึ้นไปจึงเหมาะกับการเริ่มต้นเรียนว่ายน้ำเนื่องจากในวัยนี้พัฒนาการของเด็กจะมีความพร้อมสำหรับเด็กในวัยเบบี๋หรืออายุน้อยกว่า 4 ขวบก็ไม่ถึงกับห้ามเรียนว่ายน้ำ เพียงแต่น่าเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของลูก เพราะว่าเด็กเล็กมีโอกาสจมน้ำได้ง่าย หมอนอกจากพัฒนาการทางร่างกายยังไม่โตเพียงพอแล้ว การตัดสินใจช่วยเหลือตัวเองก็ยังไม่ดีนัก และยังเป็นวัยที่ยังสื่อสารได้ไม่ดีพอจึงอาจไม่มีความเข้าใจในการเรียนได้เท่ากับเด็กที่โตกว่า นอกจากนี้เด็กเล็กก็มีโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่ายเนื่องจากภูมิต้านทานยังต่ำอยู่ค่ะก่อน 4 ขวบฝึกความคุ้นเคยเด็กเล็กก่อนวัย 4 ขวบสามารถสร้างความคุ้นเคยให้ลูกเมื่ออยู่ในน้ำได้ค่ะ อาจไม่ใช่การสอนว่ายน้ำแบบจริงจังแต่เป็นการสร้างบรรยากาศให้ลูกสนุกกับการเล่นน้ำ และสอนเรื่องความปลอดภัยให้เขา อาจจะชวนลูกเล่นน้ำ ให้ลูกใส่ห่วงยางหรือเสื้อชูชีพลอยตัวเล่นในน้ำ หรือสอนให้ลูกเล่นเล่นตีขาในน้ำ ในขณะเล่นถึงแม้ว่าจะอยู่ในชูชีพแล้วก็ตาม ลูกต้องอยู่ในสายตาตลอดเวลา และต้องอยู่ในระยะที่คุณพ่อคุณแม่สามารถคว้าจับตัวเขาได้ทันเท่านั้น อย่าปล่อยให้ลูกอยู่ห่างตัวเกินกว่านี้ เพราะอุบัติเหตุสามารถเกิดได้ในชั่วพริบตาค่ะมีอีกข้อหนึ่งที่ควรระวังก็คือ อย่าปล่อยให้พี่ที่อายุโตกว่าดูแลน้องเล็กกันเองนะคะ เพราะความสามารถในการช่วยเหลือของเด็กเมื่อเกิดอุบัติเหตุจมน้ำจะไม่ดีเท่าผู้ให ญ่ไม่ว่าในวัยไหนก็ตาม คุณพ่อคุณแม่จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับความปลอดภัยมาเป็นอันดับแรกเสมอค่ะ

Read more

1 ขวบแล้วไม่ยอมกินข้าวทำอย่างไรดี ?

Q : ลูกอายุ 1 ปี 1 เดือน กินแต่นม เวลาป้อนข้าวก็ไม่กินเลยค่ะ เคยใช้วิธีให้กินนมน้อยลง แต่ก็จะร้องงอแงมากไม่ยอมกินข้าวอยู่ดี จะมีวิธีแก้ไขอย่างไรคะA : ปัญหาลูกไม่กินข้าวเป็นปัญหาสำคัญที่พบในเด็กวัยตั้งแต่ 1 ปี ไปจนถึง 3 – 4 ปี หรือช่วงวัยก่อนเข้าโรงเรียน ซึ่งเป็นปัญหาที่ต้องอาศัยความเข้าใจในพฤติกรรมเด็ก ความอดทน และความร่วมมือของคุณพ่อ คุณแม่ในการแก้ปัญหาโดยการแก้ปัญหานั้นเริ่มต้นที่คุณแม่ไม่ควรเครียด กังวลกับการกินของลูกมากเกินไป ควรสร้างบรรยากาศการกินให้สบายๆ โดยให้นั่งกินร่วมโต๊ะกับสมาชิกในครอบครัว ไม่มีสิ่งใดมาดึงความสนใจ เช่น ทีวี ของเล่นชวนลูกพูดคุยให้เพลิน ไม่บังคับขู่เข็ญ ไม่ยัดเยียด ไม่เดินตามป้อนอาหาร หรือติดสินบนลูกเพื่อให้กิน เพราะลูกจะต่อต้านไม่ยอมกิน หรือ ในบางรายจะจับจุดได้ว่า การที่เขาไม่กินข้าว จะได้รับความสนใจจากคุณแม่มากขึ้น แล้วนำมาเป็นข้อต่อรองในคราวหลังได้ควรให้ลูกได้เลือก และ ควบคุมการกินของเขาเอง ตักกินเอง จะเลอะเทอะไปบ้างก็ไม่เป็นไรค่ะ แต่อย่าใช้เวลากินบนโต๊ะอาหารนานเกินไป ไม่ควรเกิน 30 นาที เพราะจะทำให้ลูกมีความรู้สึกว่าช่วงเวลามื้ออาหารเป็นช่วงที่น่าเบื่อ และ มีความรู้สึกว่าตนเองกำลังถูกบังคับอยู่ในแต่ละมื้อนั้นควรจัดให้อาหารมีลักษณะสีสัน…

Read more

Review เครื่องปั๊มนม Nanny

ถ้าให้พูดถึงเรื่อง นมแม่ แม่ๆนึกถึงอะไรกันบ้างคะ สำหรับนุ้ย คงคิดถึงปากน้อยๆที่คอยงับหัวนม อีกมือก็เกาะแกะอยู่กับเต้าเรา มันเป็นความสุขของแม่จริงๆ แต่ทว่า สาย Working Mom อย่างนุ้ย คงหาโอกาสยากมากที่ลูกจะเข้าเต้าตลอดเวลา ดังนั้นด้วยเส้นทางนมแม่ฉบับ Working Mom ก็ต้องมองหาผู้ช่วยคนเก่งที่จะคอยทำหน้าที่แทนปากน้อยของลูกมางับนม มาดูดนม ในยามที่เราต้องทำงาน.. และผลลัพธ์คือ เราจะมีน้ำนมกลับบ้านไปฝากลูกน้อยกลอยใจทุกวัน1.3 ปีเต็มแล้วค่ะ สำหรับนุ้ยที่มีเพื่อนคู่ใจ คู่กาย อวัยวะที่ 33 นั่นก็คือ #เครื่องปั๊มนม นี่เอง จนนุ้ยกลายร่างเป็นคุณแม่นักปั๊มไปแล้ว แถมว่า ปั๊มล้วนด้วยนี่สิ ฉะนั้น เครื่องปั๊มนม จึงต้องเลือกแบบพิถีพิถันกันหน่อย หลังจากที่เราบ่นกับคุณพ่อที่บ้านว่า ม๊าไม่ไหวแล้วอ่ะ ปั๊มนมจนเจ็บเต้าเจ็บหัวนมไปหมด นุ้ยบ่นทุกวันเลยค่ะ บ่นจนบางครั้งเราคิดจะแขวนเครื่องปั๊ม และสิ้นสุดเส้นทางนมแม่แล้ว ถ้าต้องเป็นแบบนั้นจริง #ใจหายแน่ๆค่ะแต่ๆๆๆๆๆ!!! วันนี้นุ้ยได้เจอกับเพื่อนคู่ใจคนใหม่ คือ เครื่องปั๊มนมของ Nanny ค่ะ ใช่ค่ะ!! Nanny มีเครื่องปั๊มนมแล้ว!! หลังจากเหล่าแม่ๆรวมถึงนุ้ยด้วยที่จะคุ้นชินกับ อ่างอาบน้ำเอย ถุงเก็บน้ำนมเอย กล่อง/บรรจุภัณฑ์สำหรับเก็บอาหารเจ้าตัวเล็กเอย…

Read more

ไมอีลินคืออะไร สำคัญอย่างไรกับพัฒนาการสมอง พร้อมเทคนิคกระตุ้นการสร้างไมอีลินตามช่วงวัยที่คุณแม่ยุคใหม่ห้ามพลาด

คุณแม่รู้หรือไม่ว่า 1,000 วันแรกเป็นช่วงที่สมองของลูกสร้างไวที่สุด ซึ่งไมอีลินมีการสร้างมากตั้งแต่ทารกอยู่ในท้องแม่ช่วง 3 เดือนก่อนคลอดหรือในช่วงตั้งครรภ์ไตรมาสสุดท้าย และสร้างต่อเนื่องในช่วงวัยเด็ก ดังนั้นการสร้างไมอีลินจึงสำคัญในวัยเด็ก เพราะเมื่อเติบโตถึงวัยผู้ใหญ่ตอนต้นแล้ว กระบวนการสร้างนี้ก็จะลดลงเป็นอย่างมาก เรามารู้จักสารอาหารที่ช่วยเสริมสร้างสมองของลูกเพื่อให้ลูกฉลาดสมวัยกันเลยค่ะไมอีลิน กับความสำคัญต่อพัฒนาการสมองเนื่องจากไขมันเป็นส่วนประกอบหลักของไมอีลินในสมอง1 เส้นใยประสาทที่มีไมอีลิน จะมีการส่งสัญญาณประสาทเร็วกว่าที่ไม่มีไมอีลินถึง 60 เท่า2 แม่ ๆ พอจะเห็นความสำคัญของไขมันต่อการสร้างไมอีลินบ้างแล้วหรือยังคะ?คุณพ่อคุณแม่มีส่วนอย่างมากในการกระตุ้นการสร้างไมอีลิน ด้วยการให้ลูกรับประทานอาหารครบ5 หมู่และหลากหลายควบคู่กับการเลี้ยงดูอย่างใกล้ชิด คอยฝึกฝนหรือกระตุ้นพัฒนาการทางประสาทสัมผัสทั้งห้าของลูกอย่างเหมาะสมในแต่ละช่วงอายุ ร่วมกับการดูแลให้ลูกได้รับสารอาหารครบถ้วนในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เช่น อาหารหลัก 5 หมู่ โปรตีน คาร์โบไฮเดตและไขมันสารอาหารกระตุ้นการสร้างไมอีลินสารอาหาร เช่น DHA, AA, Choline, Lutein และสฟิงโกไมอีลิน ล้วนมีส่วนช่วยกระตุ้นการสร้างไมอีลินทั้งสิ้น คุณแม่ควรให้ลูกได้รับสารอาหารที่หลากหลาย เพื่อพัฒนาการที่ดีสมวัย รวมถึงช่วยกระตุ้นการสร้างไมอีลินในสมองได้อย่างมีคุณภาพกระตุ้นการสร้างไมอีลินด้วยการเลี้ยงดูที่เหมาะสมตามช่วงวัย4การสร้างปลอกไมอีลินเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นไม่พร้อมกันในสมองแต่ละตำแหน่ง ดังนั้นการจะกระตุ้นให้สมองมีการสร้างปลอกไมอีลินอย่างเต็มศักยภาพจึงแตกต่างกันไปในแต่ละช่วงอายุ และควรจะกระตุ้นอย่างเหมาะสมกับพัฒนาการตามวัยของลูก 
 พัฒนาการวัย 0 - 1 ปีในช่วงขวบปีแรกของชีวิตเป็นวัยที่ลูกน้อยกำลังพัฒนาด้านการรับสัมผัส การมองเห็น การรับเสียง และเรียนรู้ด้านภาษา คุณพ่อคุณแม่สามารถส่งเสริมพัฒนาการลูกวัยนี้ได้โดยการกอดสัมผัสตัวลูกบ่อย ๆ ซึ่งก็คือการให้ความรักความอบอุ่นกับลูกนั่นเอง การเลือกของเล่นให้ลูกอย่างเหมาะสมกับพัฒนาการตามวัยอย่างของเล่นที่มีสีสันสดใสจะช่วยกระตุ้นวงจรประสาทการมองเห็น นอกจากนี้การพูดคุยกับลูกหรือใช้เสียงดนตรีเล่นกับลูกจะเป็นการกระตุ้นวงจรประสาทด้านการรับเสียงและภาษาพัฒนาการวัย 1 -…

Read more