Skip to content Skip to sidebar Skip to footer

Author page: Mother & Care

ลูกหกล้ม ปล่อยหรือปลอบ

เมื่อเกิดอุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ ขึ้นกับลูกวัยกำลังซน เช่น หกล้ม เดินชนโต๊ะ ฯลฯ คุณพ่อคุณแม่ส่วนใหญ่มักแสดงปฏิกิริยาตกอกตกใจออกมาโดยอัตโนมัติ ตามสัญชาตญาณความห่วงใยที่มีต่อลูก ขณะเดียวกันเด็กๆ ก็มักจะมองหาคุณพ่อคุณแม่ทันทีที่รู้สึกเจ็บ กลัว หรือตกใจ ด้วยเหตุนี้ท่าทีที่ผู้ปกครองแสดงออก จึงเป็นสิ่งสำคัญที่กำหนดว่าเด็กน้อยจะตอบสนองต่อสถานการณ์นั้นอย่างไร  หากคุณพ่อคุณแม่โวยวายเสียงดัง เด็กจะรู้สึกว่าการหกล้มเป็นเรื่องใหญ่ ซึ่งนั่นอาจทำให้เขายิ่งร้องไห้จ้าเสียงดังลั่น ดังนั้น อันดับแรกผู้ปกครองจึงไม่ควรโวยวาย แม้จะรู้สึกใจหล่นลงไปอยู่ที่ตาตุ่มก็ต้องสงบสติอารมณ์ไว้ เพื่อแสดงออกให้ลูกรับรู้ว่าการหกล้มเป็นเรื่องปกติธรรมดาของชีวิต เมื่อล้มแล้วก็สามารถลุกขึ้นใหม่ได้  นอกจากนี้ คุณพ่อคุณแม่ ยังไม่ควรซ้ำเติมลูกด้วยการตำหนิว่าไม่ระมัดระวังหรือซุกซนเกินเหตุ เพราะเขาอาจสูญเสียความมั่นใจและรู้สึกไม่ดีกับตัวเอง ถ้าเด็กๆ ล้มโดยไม่ได้บาดเจ็บอะไรมากนัก คุณพ่อคุณแม่ควรยืนมองอยู่ห่างๆ และคอยให้กำลังใจ เมื่อเขาสามารถลุกขึ้นเองได้ ก็เอ่ยปากชมสักหน่อยว่า “เก่งมากๆ เลยนะลูก ที่ล้มแล้วลุกขึ้นเองได้”  แต่ถ้าลูกร้องไห้ออกมาด้วยความรู้สึกเจ็บ ก็ไม่ควรไปโกหกว่า “ไม่เจ็บหรอก ไม่เห็นเป็นอะไรเลย” เพราะเด็กจะรู้สึกว่าเขาถูกปฏิเสธตัวตนและไม่ได้รับการยอมรับความรู้สึก อาจทำให้เขายิ่งร้องไห้และไม่กล้าบอกความรู้สึกที่แท้จริงกับคุณพ่อคุณแม่ในครั้งต่อๆ ไปที่เกิดปัญหา สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรทำคือการโอบกอดและปลอบโยนโดยไม่โอ๋มากเกินไป ไม่ต้องบอกเขาว่าจะตีพื้นหรือโต๊ะที่ทำให้หนูเจ็บ หรือกล่าวโทษพี่เลี้ยงที่ดูแลไม่ดี เพราะยิ่งจะเป็นการปลูกฝังนิสัยโทษคนอื่นเมื่อเกิดความผิดพลาด แค่ถามลูกว่าเขาโอเคไหม อธิบายให้ลูกเข้าใจว่าคุณพ่อคุณแม่รับรู้ถึงความเจ็บปวดของหนู และไม่นานความเจ็บนี้ก็จะหายไป เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว ยิ่งถ้าไม่ได้บาดเจ็บรุนแรง ร้องไห้ไม่กี่นาทีเดี๋ยวเด็กๆ ก็กลับไปวิ่งปร๋อได้แล้ว สิ่งสำคัญในการประคับคองลูกน้อยยามหกล้ม คือการสอนให้เขาตระหนักว่าถ้าล้มแล้วจะเจ็บ ครั้งต่อไปต้องระมัดระวังมากขึ้น รวมถึงสร้างความมั่นใจให้ลูกรู้สึกว่าเขาเก่งพอที่จะลุกขึ้นใหม่ได้ด้วยตัวเอง ไม่ว่าในอนาคตจะต้องหกล้มอีกกี่ครั้ง หรือต้องเผชิญหน้ากับปัญหาที่ใหญ่กว่านี้ก็ตาม

Read more

คุณแม่ทำสวยได้ไหมขณะตั้งครรภ์

สาวๆ ทุกคนไม่ว่าจะอยู่ช่วงวัยใดหรือสถานภาพอะไร มักรักสวยรักงามและชอบดูแลตัวเองให้ดูดีอยู่เสมอ หลายคนเมื่อรู้ว่าตัวเองตั้งครรภ์ อาจเกิดความกังวลใจ จะทำนั่นดีไหม ทำนี่ดีหรือเปล่า และคำถามที่ว่า “ฉันแต่งหน้าได้ไหม หรือเปลี่ยนสีผมได้หรือเปล่า” ก็เป็นคำถามที่บรรดาว่าที่คุณแม่มักสงสัยอยู่เสมอๆ ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ระหว่างตั้งครรภ์ ระบบต่างๆ ในร่างกายจะมีการปรับสภาพเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลง ซึ่งหลักๆ ก็คือเรื่องของฮอร์โมน ระบบหัวใจและหลอดเลือด ระบบเมตาบอลิซึม และระบบภูมิคุ้มกัน รวมถึงการเปลี่ยนแปลงทางด้านผิวหนังที่เห็นได้ชัดเจนจากภายนอก เช่น หน้าท้องลาย ผิวนูนขึ้นมาคล้ายใยแมงมุม บริเวณแขน ขา และใบหน้า มีสิวฝ้าเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงสามเดือนสุดท้ายสิวอาจขึ้นเยอะเป็นพิเศษ ซึ่งอาการเหล่านี้จะบรรเทาลงและหายเองได้หลังคลอด  หลายคนรู้สึกหมดความมั่นใจเมื่อต้องพบกับสภาพที่เปลี่ยนไป อาจต้องการที่จะหาวิธีเรียกความสวยงามให้กลับคืนมา ซึ่งการเสริมสวยเพื่อเติมความมั่นใจนั้นเป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ผิดกติกาว่าที่คุณแม่ เพียงแต่สิ่งสำคัญคือต้องเพิ่มความระมัดระวังในการใช้สารเคมีบางอย่างที่อาจเป็นอันตรายต่อลูกน้อย และควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจใช้ผลิตภัณฑ์เพื่อความสวยความงามที่เราไม่มั่นใจว่าปลอดภัย 100% หรือไม่ ข้อควรระวังได้แก่  การใช้ยารักษาสิว ยากลุ่มวิตามินเอ (Ratinol) หรือ Isotretinoin และ Tretinoin เป็นสิ่งต้องห้ามเด็ดขาด ไม่ว่าจะกินหรือทาก็ต้องงดไปก่อนเพราะอาจส่งผลต่อความพิการของทารกได้  ยาอีกตัวที่ใช้รักษาสิวกันมาก แต่ไม่แนะนำให้ใช้ในช่วงเดือนที่ 4-9 ของการตั้งครรภ์คือ Doxycycline เพราะยาจะส่งผลให้ทารกมีสีฟันผิดปกติ หากมีคลินิกรักษาสิวเป็นประจำอยู่แล้ว ควรแจ้งแพทย์ว่ากำลังตั้งครรภ์อยู่ ทางคลินิกจะได้ปรับวิธีการรักษาให้เหมาะสม การบำรุงผิว ขณะตั้งครรภ์ว่าที่คุณแม่สามารถใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวได้ตามปกติ แต่เพื่อความปลอดภัยควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนต่อผิว และมีมาตรฐานรับรองชัดเจน ไม่ควรมีสารเคม ระวังอย่าใช้ครีมชนิดใหม่ที่ไม่เคยใช้เพื่อป้องกันการแพ้ ควรหลีกเลี่ยงครีมที่มีส่วนผสมของสารไฮโดรควิโนนเพราะสามารถดูดซึมเข้าทางผิวหนังได้รวมถึงหลีกเลี่ยงสารปรอทที่อาจทำให้เกิดความผิดปกติของระบบประสาท การแต่งหน้า ว่าที่คุณแม่สามารถแต่งหน้าเขียนคิ้วทาปากได้เหมือนเดิม เพียงแต่ต้องระลึกไว้เสมอว่า คนท้องจะสิวขึ้นง่ายกว่าปกติ จึงควรระวังเกี่ยวกับส่วนผสมของเครื่องสำอางที่ทำให้เกิดสิวอุดตัน และต้องทำความสะอาดใบหน้าให้หมดจดทุกครั้งหลังแต่งหน้า และควรหลีกเลี่ยงเครื่องสำอางที่ไม่ได้มาตรฐาน ต้องมั่นใจว่าเครื่องสำอางนั้นปลอดภัยและเชื่อถือได้ 100% ก่อนนำมาใช้กับผิวหน้า การทำสีผม จริงๆ แล้วการที่สารเคมีย้อมผมจะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายนั้นเป็นไปได้น้อยมากๆ จึงแทบไม่มีผลกระทบต่อทารกในครรภ์ แต่หากไม่จำเป็นก็ควรเลี่ยงความเสี่ยงไปก่อน เพราะยังไม่มีการศึกษาวิจัยที่บ่งชี้ผลกระทบในระยะยาว หากต้องการเปลี่ยนสีผมจริงๆ แพทย์มักแนะนำว่าควรรอให้เลยช่วงอายุครรภ์ 3 เดือนแรกไปก่อน ความสวยเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ผู้หญิงมีสุขภาพจิตดีและรู้สึกมีความสุข ในระหว่างตั้งครรภ์ยิ่งต้องดูแลตัวเองให้มีความสุขอยู่เสมอ…

Read more

สอนลูกยุค 4G ให้รวยกว่าพ่อแม่

คุณพ่อคุณแม่ที่มองว่า เรื่องของการปลูกฝังการใช้เงินในเด็กเป็นเรื่องไกลตัว ไว้โตค่อยสอนก็ได้ จะบอกว่าความคิดนี้ควรจะล้มเลิกโดยด่วน เพราะการสอนให้ลูกใช้เงินเป็น ตั้งแต่อายุยังน้อยนั้น ถือเป็นรากฐานการฝึกลูกให้ใช้เงินเป็นได้ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก และเมื่อเค้าเติบใหญ่ขึ้น เค้าก็จะกลายเป็นผู้ใหญ่ ที่ใช้เงินยังชาญฉลาด จนรวยแซงหน้าพ่อแม่ไปโดยปริยาย 1. สอนลูกให้ใช้เงินเป็น สอนให้ลูกหัดเก็บเงินที่เหลือจากค่าขนมในแต่ละวัน และไม่ตามลูกเด็ดขาด ในกรณีที่ลูกอยากได้ของที่ไม่จำเป็น ก็ต้องสอนให้เค้ารู้จักเก็บเงิน ถ้าอยากได้ ให้พยายามเก็บเงินให้ถึงเป้า แล้วพ่อกับแม่จะพามาซื้อ เพราะถึงตอนนั้น ลูกอาจจะลืมไปแล้วก็ได้ ว่าเคยอยากจะซื้อมัน 2. ลูกต้องแยกแยะให้เป็นระหว่าง “ความจำเป็น” กับ “ความอยากได้” อย่ามองว่าเด็กไม่รู้เรื่องนะ เพราะเมื่อเค้าถึงวัยที่แสดงความอยากได้อยากมีเป็นแล้วล่ะก็ พ่อแม่ต้องฝึกให้ลูกมีตรรกะแยกให้ออก ว่าของที่ลูกจะซื้อนั้น ลูกจำเป็นต้องมีมันหรือไม่ ถ้ำเป็น พ่อเม่จะให้ซื้อ แล้วนิสัยแบบนี้จะติดตัวพวกเค้าไปจนโต 3. บอกแนวทางเก็บเงินให้มีผลงอกเงย เค้าทำกันยังไง เนื่องจากสมัยนี้ เก็บเงินในบัญชีธนาคาร ได้ดอกเบี้ยมากินเป็นผลตอบแทน ปีนึงยังไม่ถึง 500 บาทเลย เราก็จะต้องพร่ำสอนลูกให้ฝึกลงทุนกับการเล่นหุ้นหรือซื้อกองทุนประกันต่างๆ แต่อย่างไรก็ตาม คุณพ่อคุณแม่ก็ต้องศึกษามาเป็นอย่างดีแล้วนะ ว่าลงทุนกับอะไร ถึงจะได้ผลเป็นกอบเป็นกำกลับมา จะได้มาเป็นไกด์นำทางให้ลูกได้…

Read more

ไวรัสเมิร์สคอฟ ศัตรูร้ายสำหรับลูกน้อย ที่พ่อแม่ต้องระวัง

ถึงแม้ว่าชื่อของไวรัสเมิร์สคอฟ จะยังเป็นชื่อแปลกและใหม่สำหรับคนไทยหลายๆ คน แต่สำหรับในหลายๆ ประเทศทั่วโลก ก็ได้เสียน้ำตาให้กับมันไปแล้วนักต่อนัก เพราะมันคือไวรัสตัวร้าย ที่ใครๆ ก็ต่างกลัว โดยเฉพาะกับเด็ก เพราะได้รับการประกาศศักดาออกมาแล้วว่า มันคือไวรัส ที่ยังไม่มียาสักตัว ที่สามารถขจัดมันได้ ฟังแล้วก็น่ากลัวอยู่ไม่น้อยเลย ถึงแม้ว่ามันจะยังเดินมาไม่ถึงประเทศไทยของเราก็เถอะ แต่กันไว้ดีกว่าแก้จะดีกว่านะทุกคน ไวรัสเมิร์สคอฟ มาจากไหน ไวรัสเมิร์สคอฟ หรือโรคไข้หวัดอูฐ เป็นโรคที่มีต้นกำเนิดมาจากแถบตะวันออกกลาง โดยพบเชื้อนี้ได้โดยตรงในค้างคาวและเลือดอูฐ ซึ่งอาศัยการติดต่อกันได้ผ่านคนสู่คนทางน้ำลายและน้ำมูก ซึ่งอาการนั้น หลายๆ คนมักแยกไม่ออกระหว่างอาการไข้หวัดธรรมดากับไข้หวัดอูฐ ทำให้มันถูกขนานนามว่าเป็นโรคที่น่ากลัวโรคหนึ่งเลยล่ะ เพราะเมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายแล้วนั้น จะนำไปซึ่งการเสียชีวิตได้มากถึง 70% เพราะยังไม่มียาตัวใดเอามันอยู่นั่นเอง จะสังเกตตัวเองยังไง เมื่อรู้ว่าเป็นโรคไข้หวัดอูฐ อาการของไข้หวัดอูฐ ในช่วงแรกๆ มักมีอาการคล้ายๆ เป็นโรคไข้หวัด จากนั้นจะเริ่มมีการไข้สูง หายใจหอบ หายใจติดขัด และติดต่อได้ง่ายมากๆ ผ่านการไอและจาม และเมื่อไปพบแพทย์เพื่อรักษาอาการไม่ทัน ก็จะเป็นหนักขึ้น จนเชื้อกระจายเข้าสู่ปอด ไตวาย เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบและเสียชีวิตลงในทันที ซึ่ง ณ ตอนนี้ ยอดผู้เสียชีวิตจากเชื้อนี้ได้ทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ และพบผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง…

Read more

ก่อนจะสอนลูกด้วยวิธี Homeschool รู้ครบตามนี้แล้วหรือยัง?

ในยุคสมัยนี้ คุณพ่อคุณแม่สมัยใหม่ คงรู้จักใกล้ชิดกันดีกับคำว่า “Homeschool” ทำให้หลายๆ บ้านต่างก็อยากลองให้ลูกของเรานั้น ได้มาคลุกคลีกับการเรียนกับโฮมสคูลมากขึ้น ซึ่งเราจะมาบอกเล่าให้พ่อๆ แม่ๆ ได้รู้กันว่า แท้จริงแล้ว Homeschool ดีจริงมั้ย? แล้วถ้าอยากให้ลูกโฮมสคูลดูบ้างล่ะ ต้องเตรียมตัวยังไง มาทำความรู้จักพร้อมๆ กันเลย! Homeschool คือ? โฮมสคูลหรือแปลกันแบบตรงๆ ก็คือ การเรียนที่บ้าน เน้นพัฒนาทักษะชีวิต เพื่อโตเป็นผู้ใหญ่ที่เก่งแบบรอบด้าน และพร้อมแก้ปัญหาในชีวิตได้ด้วยตนเอง แล้วโฮมสคูล ดีจริงมั้ย ต้องบอกว่าดีมากๆ เลยล่ะ เพราะเด็กจะได้เรียนแบบตัวต่อตัวกับพ่อแม่ หรือติวเตอร์ในบรรยากาศการเรียนการสอนที่อบอุ่น แถมพ่อแม่ยังเลือกจัดตารางเรียนได้เอง และสรุปผลแบบประเมินตามหลักสูตรถูกต้องตามหลักการศึกษา โดยเลือกเรียนได้ตามอัธยาศัยและเทียบโอนผลการศึกษาได้แบบการเรียนปกติอีกด้วย ขั้นตอนแรกเริ่ม Homeschool โดยคุณพ่อคุณแม่จะได้เป็นตัวหลักในการจัดการศึกษาของลูกได้เอง โดยแบ่งได้ตั้งแต่ระดับอนุบาล ไปจนถึงมัธยมศึกษา และสามารถไปจดทะเบียนตามสถานที่ที่แต่ละระดับชั้นกำหนดไว้ได้เลย ระดับอนุบาล จะจดทะเบียนได้เมื่อลูกมีอายุ 3 ขวบ เมื่อเราเห็นว่าลูกพร้อมที่จะ Homeschool…

Read more

โพสต์ถามเรื่องลูก โปรดคิดให้ดี!

ในยุคที่หันไปทางไหนก็มีแต่คนเล่นเฟสบุ๊ค อินสราแกรม ไลน์ โลกโซเซียลเน็ตเวิร์คขยับเข้ามาใกล้จนเราแทบจะไม่สามารถแยกตนเองออกจากสังคมออนไลน์ การโพสต์รูปลูก ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมต่างๆ ไลฟ์สไตล์หรือพัฒนาการของลูก เป็นความสุขและความชื่นใจของคนเป็นพ่อแม่ จนบางครั้งเราอาจจะหลงลืมไปว่าการโพสต์รูปเรื่องราวเกี่ยวกับลูกในสังคมออนไลน์นั้น ก็มีข้อควรระวังอยู่เช่นกัน  จากการรวบรวมข้อมูลวิจัยในการใช้สังคมออนไลน์ของพ่อและแม่ (ต่างประเทศ) พบว่า การที่พ่อแม่ใช้สื่อสังคมออนไลน์หรือ "Sharenting" ในการติดต่อสื่อสารรายละเอียดข้อมูลเด็กนั้นมีเป็นจำนวนมาก โดย98% ของแม่จะโพสต์ถามเกี่ยวกับการเลี้ยงดูเด็ก และ 89% ของพ่อจะโหลดรูปภาพเด็กลงเฟสบุ๊ค โดยพ่อและแม่ส่วนใหญ่ ชอบถึงชอบมากที่รูปของลูกได้รับการตอบรับ การโพสต์รูปลูกในสังคมออนไลน์แล้วได้รับการตอบรับที่ดีนั้นส่งผลให้คุณพ่อคุณแม่พึงพอใจในบทบาทของการเป็นพ่อแม่มากขึ้นด้วย นั่นก็สื่อความหมายได้ว่า พ่อและแม่มีแนวโน้มที่จะโพสต์ แชร์ รูปและข้อมูลของลูก “บ่อยขึ้นๆ” หลายคนคงสงสัยว่า แล้วการโพสต์รูปลูกนั้นมันมีข้อควรระวังอะไร  โพสต์ถามเรื่องลูก โปรดคิดให้ดี!  สิ่งที่ควรระวังเกี่ยวกับการโพสต์รูปหรือข้อมูลส่วนตัวของลูกลงในสื่อสังคมออนไลน์ก็คือ “ความเป็นส่วนตัวของลูก” ข้อมูลใดใดก็ตามที่เราโพสต์ลงไปแล้วบนโลกอินเตอร์เน็ตแล้ว ยากมากที่จะลบล้างหรือเรียกคืนได้ ดังนั้นในอีก 10 หรือ 20 ปี ข้างหน้าลูกอาจได้เห็นข้อมูลตนเองเมื่อเขาโตขึ้น หรือคนอื่นๆก็สามารถเห็นข้อมูลลูกในอดีตได้เช่นกัน เราไม่อาจทราบได้ว่าพวกเขาในอนาคตจะยินดีกับภาพหรือเรื่องราวที่พ่อกับแม่โพสต์ลงไปหรือไม่ ที่สาคัญเรื่องราวและรูปเหล่านั้นเป็นเรื่องส่วนตัวของลูก ไม่ใช่ของพ่อและแม่ ดังนั้น ก่อนที่คุณพ่อและคุณแม่จะโพสต์ข้อมูลใดใดลงไป ลองตั้งคำถามกับตนเองสักนิดดีไหม เพื่อชะลอการตัดสินใจก่อนโพสต์  ฉันโพสต์ภาพ/เรื่องราวนี้ของลูกเพื่ออะไรกันนะ ? คำถามนี้จะช่วยเตือนสติว่าเราโพสต์รูปลูกบ่อยเกินไปหรือเปล่า โพสต์ทำไม…

Read more

เคล็ดลับการเลี้ยงดูเด็กวัย 6-12 ปี

รสชาติอร่อย ดื่มง่าย น้ำหนักเบา ขนาดกะทัดรัด พกพาสะดวก ไม่มีการแตกร้าวปลอดภัยสำหรับเด็ก พกติดตัวไปดื่มได้ในทุกโอกาส และ ทุกสถานที่ เช่น โรงเรียน , บนเครื่องบิน, สแน็คบ๊อกซ์ เป็นต้น เป็นราคาที่เด็กๆซื้อดื่มได้ทุกวัน C-vitt Mini ขนาดกะทัดรัด น้ำหนักเบา พกพาสะดวก ช่วยให้ร่างกายได้รับวิตามินซีเพียงพอในแต่ล่ะวัน เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันที่ดี และมีร่างกายที่แข็งแรง ด้วยประโยชน์จากวิตามินซี 200% คุณภาพญี่ปุ่น C-vitt  ทางเลือกใหม่ของการดื่มวิตามินซีในรูปแบบน้ำ เพื่อให้ร่างกายดูดซึมได้ดีขึ้น มีปริมาณวิตามินซีสูง 200% Website : https://www.house-osotspafoods.com/ facebook  : https://www.facebook.com/Cvitt.vitaminC/

Read more