เด็กทารก เรื่องเด็ก ๆ ที่ไม่เด็กเลยสำหรับพ่อแม่ ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่มือใหม่หรือพ่อแม่ลูกสองแล้วก็ตาม เพราะเด็กแต่ละคนนั้นเกิดมามีความแตกต่าง ทั้งนิสัย ร่างกาย การกิน การเดิน การนอน
ว่ากันว่า
การมีลูกทำให้ชีวิตเปลี่ยน วันนี้ Mother and Care ชวน “กล้า ตั้งสุวรรณ”
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไวซ์ไซท์
จำกัด มาพูดคุยถึงชีวิตอีกด้านหนึ่งที่น้อยคนนักจะได้เห็น เขาไม่ใช่เพียงพี่กล้าที่น้องๆ
เรียกหา คุณกล้าที่ลูกค้าขอคำปรึกษา แต่เขามีอีกบทบาทที่ทำให้ชีวิตของผู้ชายคนนี้ไม่เหมือนเดิม
“คุณพ่อกล้าของน้องนลิน”
บทบาทการเป็นคุณพ่อทำให้ชีวิตของคุณกล้าเปลี่ยนไหม เปลี่ยนไปอย่างไร
“เปลี่ยนครับ ชีวิตเปลี่ยน แต่ไม่ใช่อุปสรรค หน้าที่ของเราคือ รักษาสมดุล ให้มันได้ สมดุลคือ เราอาจจะไม่ได้แยกว่านี่คือบ้าน นี่คือทำงาน คนทำงานส่วนใหญ่พยายามแยกงานออกจากชีวิตออกจากกัน แต่สำหรับองค์กรเรา ผมเรียกว่า Work Life Integration หลังโต๊ะทำงานมีเตียงเด็ก ของเล่นลูกอยู่ตรงนั้น เพราะทั้งหมดนี้คือชีวิตผม ผมมีงาน แต่ผมก็มีลูก และเราไม่อยากให้ลูกเลิกเรียนบ่ายสองแล้วรอพ่อกลับตอนสามทุ่ม ซึ่งลูกก็หลับแล้ว นอกจากนั้น ยังเปลี่ยนวิธีคิด พอมีลูกก็เหมือนเป็น Life Long Commitment เป็นหัวหน้า เป็นซีอีโอลาออกได้ แต่การเป็นพ่อลาออกไม่ได้ มีลูกแฮปปี้แต่ถามว่าหนักไหมก็ต้องบอกว่าหนัก มันมีด้านดี ถ้าเรามองทุกอย่างเป็นปัญหามันก็แย่ไปหมด เวลาไปรับลูกที่โรงเรียน พ่อแม่ทุกคนยิ้มออกหมด เวลาลูกสำเร็จเราก็ยิ้ม อาจจะไม่ได้…
คุณแม่ทุกคนต่างรู้ดีว่านมที่ดีที่สุดสำหรับลูกรักก็คือ “นมแม่” ซึ่งเหมาะสำหรับเด็กแรกเกิดไปจนถึงวัยประมาณ 1 ขวบ และหลังจากนั้นก็จะเป็นหน้าที่ของอาหารประเภทอื่น ๆ ที่จะเข้ามามีส่วนในการพัฒนาทางด้านต่าง ๆ ของร่างกายให้กับลูก รวมถึง “นมโคแท้” ที่เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่เด็ก ๆ ส่วนใหญ่ควรดื่มเป็นประจำ เพราะนมโคแท้นอกจากจะทำหน้าที่เป็นแหล่งพลังงานที่ดีแล้ว ยังมีสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายของเด็กอีกด้วย
และนี่คือ 5 เรื่องจริงของนมโคแท้ว่าทำไมถึงเหมาะกับลูกน้อย
1. นมโคแท้ อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุชั้นดีที่ร่างกายต้องการ อาทิ วิตามิน เอ, บี 1, บี 2, ฟอสฟอรัส, ไอโอดีน, วิตามิน ดี, เค, ธาตุเหล็ก, วิตามิน บี 5, บี 12 และอื่นๆ อีกมากมาย! โดยเฉพาะวิตามินบี 2 ซึ่งทำหน้าที่ช่วยให้ร่างกายได้พลังงานจากคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน ส่วนวิตามินบี 12 จะทำหน้าที่ช่วยสร้างสารที่จำเป็นในการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง และมีส่วนช่วยในการทำงานของระบบประสาทและสมอง
2. นมโคแท้ ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง…
คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ที่ยังไม่เคยรู้กันมาก่อนว่า เบบี๋ตัวน้อยที่พึ่งลืมตามาดูโลกได้ไม่กี่วันนั้น ต้องมีการฉีดวัคซีนให้ครบทุกตัว และไปตามนัดหมอทุกครั้ง เพราะในช่วง 6 เดือนแรก ลูกยังไม่มีภูมิคุ้มกันและป่วยง่ายมากๆ ดังนั้น เพื่อเป็นการเสริมเกราะให้ลูกแข็งแรงนอกจากนมแม่แล้วนั้น ไปดูกันว่า มีวัคซีนตัวไหนบ้างที่ลูกต้องโดนฉีด หากฉีดไม่ครบ น่ากลัวแน่นอน! วัคซีนสำหรับทารกพึ่งเกิด ทารกแรกเกิดจะต้องได้รับการฉีดวัคซีนวัณโรคและตับอักเสบบี (ฉีดภายใน 24 ชม. หลังคลอด) เพราะเป็นโรคที่ติดผ่านกันได้ง่าย ส่วนตับอักเสบบีนั้น จะฉีดป้องกันเนื่องจาก กรณีที่คุณแม่ท่านไหนมีพาหะของเชื้อ ก็อาจจะติดมาสู่ลูกได้นั่นเอง วัคซีนวัย 1 เดือน ฉีดป้องกันโรคตับอักเสบบีเพิ่มอีก 1 เข็ม เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและต้านทานเชื้อโรคที่จะเข้าสู่ลูกน้อย การฉีดวัคซีนในวัย 2 เดือน เด็กๆ จะได้รับการฉีดวัคซีนคอตีบบาดทะยักไอกรน เนื่องจากเป็นเชื้อที่ร้ายแรงมาก ไม่ป้องกันไว้จะถึงขั้นไอจนเสียชีวิตได้เลย อีกตัวจะเป็นการฉีดตับอักเสบบีเพิ่มอีก 1 เข็ม และมีการหยดยาโปลิโอเพิ่มด้วย วัคซีนวัย 4 เดือน จะเหมือนการฉีดวัคซีนในช่วงเดือนที่ 2 นั่นก็คือ ฉีดวัคซีนคอตีบบาดทะยักไอกรนและตับอักเสบบีซ้ำอีก 1…
เมื่อลูกๆ เริ่มโตขึ้น ฟันเริ่มทยอยขึ้นครบทุกซี่ ปัญหาที่สร้างความหนักใจรองจากเรื่องดูแลรักษาฟันในเด็กก็คือ จะทำยังไงดีให้ลูกยอมออกไปพบหน้าหมอฟัน และเพื่อให้ลูกของเราเกิดภาพลักษณ์ที่ดีต่อการหาหมอฟันไปตลอดกาลนั้น คนเป็นพ่อแม่ต้องทำยังไงบ้างนั้น มาดูเทคนิคนี้กัน สุดง่าย แถมได้ผลทันตาเห็นกันเลย! 1. เฟ้นหาสถานที่ไม่ต้องไกลมาก หากใครไม่เคยคำนึงถึงประเด็นนี้มาก่อนล่ะก็ ต้องเตรียมหาข้อมูลกันให้หนักเลยนะแม่ๆ เพราะเด็กเค้าไม่ชอบนั่งรถนานๆ อยู่แล้ว ยิ่งรู้ว่าปลายทางข้างหน้าต้องไปพบกับคุณหมอฟันด้วยนะ ยิ่งงอแงเข้าไปใหญ่ ดังนั้น การเลือกคลินิกหรือโรงพยาบาลที่เดินทางสะดวก และมีมุมของเล่นเพื่อเปลี่ยนอารมณ์ลูกได้ ยิ่งดีใหญ่เลย เพราะเค้าจะลืมความกลัวที่อยู่ตรงหน้า และเพลิดเพลินไปกับกองของเล่นของทางโรงพยาบาลซะแทน 2. พูดปลอบให้ลูกรู้สึกดี ห้ามเด็ดขาด! กับคำพูดที่ส่อถึงความน่ากลัวหรือเรื่องโหดร้าย ที่จะทำให้ลูกของเรานั้น ขยาดกับการมาหาหมอฟันไปอีกยาว ซึ่งเทคนิคการพูดนั้น ง่ายนิดเดียว แค่พูดยังไงก็ได้ให้ลูกรู้สึกดี เช่น ให้หมอส่องฟันดูนิดเดียวนะลูก หลับตายังไม่ถึง 2 นาทีเองก็เสร็จแล้วล่ะ อะไรทำนองนี้ ก็จะทำให้ลูกอุ่นใจขึ้นได้มากแล้วล่ะ 3. เข้าไปให้กำลังใจถึงในห้องหมอกันไปเลย หากลูกน้อยต้องการให้เราเข้าไปในห้องคุณหมอด้วยนั้น คุณพ่อคุณแม่ห้ามปฎิเสธเด็ดขาดเลย เพราะการเข้าไปให้กำลังใจถึงในห้องนั้น เด็กๆ จะรู้สึกอุ่นใจ ต่อให้ต้องอยู่กับคุณหมอนานเท่าไหร่ ลูกก็จะทนต่อไปได้ เพราะตรงนั้น…
จะว่าเป็นความมักง่ายก็ไม่เชิง เมื่อฟาร์มเลี้ยงไก่สมัยนี้ มักฉีดฮอร์โมนเพื่อเร่งให้ไก่โตเร็วทันใจ พร้อมออกขายสู่ตลาดได้รวดเร็ว อีกทั้งการฉีดฮอร์โมนในไก่ ยังทำให้ไก่ดูน่าทานยิ่งขึ้นอีกด้วย แต่มันกลับส่งผลร้ายแรงต่อมนุษย์มากกว่าที่เราคิด เพราะการรับฮอร์โมนจากการทานไก่มากไป จะทำให้เกิดอาการผิดปกติตามมา ไม่ว่าจะเป็นซีส หรืออาการ “สาวไวผิดปกติ” ในหมู่ผู้หญิง แล้วไก่ในไทยล่ะ มีการเร่งฮอร์โมนจริงมั้ย หรือพอจะมีส่วนไหนของไก่ที่เราต้องระวังห้ามทานเป็นพิเศษ มาดูกัน! สรุปแล้ว การทานไก่ฉีดฮอร์โมน อันตรายจริงหรือไม่ ถ้าต้องพูดถึงการฉีดฮอร์โมนเข้าไปในไก่นั้น ความจริงคือมันอันตรายต่อผู้บริโภคจริงๆ แต่ในประเทศไทยนั้น ได้ทำการทำข้อตกลงระหว่างประเทศตั้งแต่ปี 2542 ห้ามฉีดฮอร์โมนเข้าไปในไก่แล้ว และเนื่องจากการฉีดฮอร์โมนเข้าไปในไก่มีราคาสูงมากๆ ทำให้เจ้าของฟาร์มไก่ในประเทศไทยนั้น มักไม่นิยมฉีดฮอร์โมนในไก่มากเท่าไหร่ ดังนั้น ไก่ที่เราบริโภคในทุกๆ วันนี้ จึงยังไม่น่ากลัวจนถึงขั้นต้องเลิกทาน เพียงแต่ทานในปริมาณที่พอเหมาะพอควร และหลีกเลี่ยงการทานเนื้อไก่ในส่วนที่เค้าต้องห้ามทานจะดีที่สุด ส่วนไหนของไก่ที่ต้องห้ามทาน และส่วนไหนบ้างที่เป็นมิตรต่อร่างกาย! เนื่องจากฟาร์มเลี้ยงไก่แต่ละแห่ง มีมาตรฐานการเลี้ยงไก่และป้องกันสารพิษแตกต่างกันออกไป ทำให้บางฟาร์มก็อาจจะมีสารพิษหรือยาฆ่าแมลงที่ปนเปื้อนอยู่ในไก่ติดตัวออกมาบ้าง ในส่วนของปีกไก่ คอไก่ และหัวไก่ ถือเป็นส่วนที่มีมันเยอะมาก ทำให้สารเคมีและสารพิษมักจะเกาะกินและฝังตัวอยู่ในบริเวณตรงส่วนเหล่านี้เป็นจำนวนมาก จึงทำให้อันตรายก็ยังพอหลงเหลืออยู่บ้าง ดังนั้น ใน 3…
ดนตรีไม่ได้ทรงพลังเพียงแค่เป็นเพื่อนคลายเหงาเท่านั้น
แต่ดนตรีมอบพลัง มอบชีวิต ปลุกจิตวิญญาณให้แก่คนทุกเพศทุกวัย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กออทิสติกนั้น พวกเขาอาจจะมีทักษะทางสังคมด้อยกว่าผู้อื่น แต่ภายในตัวเขาเองนั้นก็มีทักษะด้านอื่นๆ
ซ่อนอยู่ หากคุณพ่อคุณแม่ส่งเสริมถูกต้อง
พวกเขาก็สามารถสร้างสรรค์ผลงานรวมทั้งใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุขเช่นเดียวกับคนอื่นๆ
ในรายการ American Got Talent ปีล่าสุด 2019
นี้ จะเห็นได้ว่า มีเด็กชายที่เป็นเด็กออทิสติกได้รับรางวัล Gold
Buzzer หรือรางวัลพิเศษจากคณะกรรมการให้สามารถผ่านเข้าสู่รอบการแสดงสดโดยไม่ต้องผ่านการคัดเลือกอีก
และสิ่งที่ทำให้เขาชนะใจกรรมการคือดนตรีอันแสนไพเราะจากปลายนิ้วที่พรมลงเปียโน
รู้หรือไม่ว่าเด็กออทิสติกมีทักษะทางดนตรีพิเศษกว่าคนปกติ
ย้อนหลังในช่วงกว่า
70 ปีที่ผ่านมา มีงานวิจัยอยู่มากมายที่แสดงให้เห็นว่าผู้ป่วยในกลุ่มอาการออทิสติกเกือบครึ่งนั้นมี
Perfect
Pitch ซึ่งหมายถึงว่า มีความสามาถในการแยกเสียงดนตรี ตัวโน้ต
และจังหวะได้อย่างแม่นยำ และในขณะเดียวกันกิจกรรมเกี่ยวกับดนตรี เช่น การร้องเพลง
การเล่นเครื่องดนตรี
มีส่วนช่วยในการบำบัดเด็กออทิสติกให้มีทักษะการสื่อสารทางสังคมดีขึ้นด้วย
อีกทั้งยังช่วยปรับปรุงคุณภาพชีวิตของครอบครัว และเพิ่มประสิทธิภาพในการเชื่อมโยงกันของสมองแต่ละส่วน
อย่างงานวิจัยชิ้นหนึ่ง
เด็กออทิสติกจะถูกแบ่งเป็นสองกลุ่มและได้รับการดูแลด้วยนักบำบัดคนเดียวกัน
แต่กลุ่มหนึ่งนักบำบัดจะมีปฏิสัมพันธ์กับเด็กผ่านการร้องเพลงและเล่นดนตรี
ส่วนอีกกลุ่มใช้การบำบัดแบบไร้เสียงดนตรี
ซึ่งผลปรากฏว่ากลุ่มที่ใช้ดนตรีในการบำบัด เด็กๆ
มีทักษะการสื่อสารและคุณภาพชีวิตของครอบครัวที่ดีขึ้น
ไม่ใช่แค่ในต่างประเทศเท่านั้นที่นักวิจัยให้ความสนใจกับเรื่องนี้
ในประเทศไทยเราเองก็มีนักจิตวิทยาเด็กและวัยรุ่นและนักดนตรีบำบัดหลายคน
ที่นำดนตรีมาประยุกต์ใช้กับการเสริมสร้างพัฒนาการให้แก่เด็กพิเศษ
โดยสามารถใช้ประโยชน์ได้ทั้งในแง่ของการฝึกออกเสียงและช่วยเสริมสร้างทักษะการเข้าสังคม
ซึ่งหลังจากเข้ารับการบำบัดด้วยเสียงดนตรี
เด็กออทิสติกส่วนใหญ่จะมีอารมณ์คงที่มากขึ้น
และบางคนยังต่อยอดไปสู่การเล่นดนตรีเป็นงานอดิเรกหรือมุ่งมั่นฝึกฝนเพื่อเป็นนักดนตรี
ทำให้เกิดความภาคภูมิใจในตัวเองและมีดนตรีเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ
ทำให้พวกเขาใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างมีความสุขยิ่งขึ้น
จะเห็นได้ว่า
พลังงานเสียงดนตรีนั้นยิ่งใหญ่กว่าที่เราคิด
ที่สำคัญคือความสามารถของเด็กออทิสติกเองที่ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าเด็กคนอื่นๆ
คุณพ่อคุณแม่เองควรช่วยส่งเสริม อาจจะเริ่มต้นจากเปิดเพลงให้เขาฟังก่อนเพื่อให้เขารู้สึกผ่อนคลาย
ชวนเขาร้องเพลงคาราโอเกะ ซื้อเครื่องดนตรีขนาดเล็กเบาๆ
ให้เขาได้สัมผัสและทำความรู้จัก หากมีโอกาสก็อาจพาเขาไปชมคอนเสิร์ต ละครเวที
ภาพยนตร์เพลง ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัว ค้นหาความชอบไปพร้อมๆ
กับลูกรัก ใครจะไปรู้ว่าอนาคตข้างหน้า
ลูกน้อยของเราอาจจะไปยืนอยู่บนเวทีประกวดร้องเพลงบ้างก็ได้
การส่งเสริมพัฒนาการลูกน้อยทำได้หลายวิธี
และหนึ่งในตัวช่วยที่น่าสนใจก็คือ พิพิธภัณฑ์
เพราะผ่านการคิดค้นและสร้างสรรค์โดยผู้เชี่ยวชาญมาแล้วในการจัดกิจกรรมให้เหมาะสมกับช่วงวัย
พิพิธภัณฑ์ 5 แห่งต่อไปนี้
เหมาะแก่การพาลูกน้อยไปเปิดโลก ซึ่งนอกจากจะช่วยส่งเสริมทักษะการเรียนรู้
และเพิ่มพูนความคิดสร้างสรรค์ให้แก่เด็กๆ แล้ว
ยังเป็นการสร้างความทรงจำร่วมกันและพัฒนาความสัมพันธ์ภายในครอบครัวอีกด้วย
พิพิธภัณฑ์เด็กกรุงเทพมหานครแห่งที่
1 (จตุจักร)
พื้นที่การเรียนรู้ เน้นการเล่นสนุกให้สอดคล้องกับพัฒนาการและศักยภาพของเด็กแต่ละวัย
ทุกกิจกรรมผ่านการคัดสรรมาเป็นอย่างดี
ให้เหมาะกับการบ่มเพาะความคิดสร้างสรรค์และส่งเสริมทักษะด้านต่างๆ
ภายใต้สภาพแวดล้อมและอุปกรณ์ที่ปลอดภัย แต่ละเดือนจะมีกิจกรรมพิเศษ เช่น ครัวไทยสำหรับวัยจิ๋ว
ละครโรงเล็ก คลาสศิลปะ คลาสวิทยาศาสตร์ คลาสนักประดิษฐ์ ส่วนใหญ่เหมาะกับเด็กอายุ 3-12 ปี
เปิดวันอังคาร-วันอาทิตย์ (ปิดทุกวันจันทร์) 10.00 - 16.00 น. ไม่เสียค่าใช้จ่าย
www.cdm-bangkok.com
พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์
คลอง 5 ปทุมธานี
จุดเด่นของที่นี่คืออาคารทรงลูกเต๋าสวยงามแปลกตา
ส่วนพื้นที่ภายในแบ่งออกเป็น 6
ชั้น
โดยแต่ละชั้นจะมีกิจกรรมเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ที่เหมาะกับทุกเพศทุกวัย
เรียกว่ามาสนุกร่วมกันได้ทั้งครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นเด็กเล็กหรือเด็กโต
ทางพิพิธภัณฑ์มีมุมทดลองอิสระที่เปิดโอกาสให้เด็กๆ สามารถเรียนรู้ผ่านการเล่นได้อย่างเพลิดเพลิน
ลองมาสัมผัสด้วยตัวเองแล้วจะรู้ว่าวิทยาศาสตร์เป็นเรื่องใกล้ตัวและสนุกกว่าที่คิด
เปิดวันอังคาร-วันอาทิตย์
(ปิดทุกวันจันทร์) 9.30 - 16.00 น.
ผู้ใหญ่
100 บาท
ผู้สูงอายุและเด็กเข้าชมฟรี (นักเรียนต้องแสดงบัตร)
วันเสาร์
- วันอาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ปิด 17.00 น.
www.nsm.or.th/home-science-museum.html
อุทยานรังสรรค์นวัตกรรมอวกาศ
แหล่งเรียนรู้ด้านอวกาศในอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี
ที่นี่มีโชว์วิทยาศาสตร์เจ๋งๆ ให้ชมทุกวันเสาร์-อาทิตย์ และมีไฮไลท์น่าสนใจมากมาย เช่น
สถานีอวกาศจำลอง…
ย่างเข้าฤดูฝนทีไร
คุณพ่อคุณแม่คงกังวลกับการดูแลสุขภาพลูกน้อย เพราะฤดูนี้อากาศจะเย็นลงและมีความชื้นสูง
ทำให้เชื้อไวรัสและแบคทีเรียเจริญเติบโตได้ดีกว่าปกติ มีโรคติดต่อที่ต้องระวังหลายโรค
โดยเฉพาะโรคจากยุงเป็นพาหะ ไม่ว่าจะเป็น โรคไข้เลือดออก โรคติดเชื้อไวรัสซิกา
และโรคไข้ปวดข้อยุงลาย แทนที่จะเอาแต่กังวลใจ ลองทำตามคำแนะนำกับ 3 เก็บที่จะช่วยป้องกันโรคจากยุงร้ายได้
เก็บที่หนึ่ง เก็บบ้านให้สะอาด
ขจัดมุมอับทึบซึ่งยุงมักชอบเข้าไปแอบเกาะพัก โดยเฉพาะตามห้องนอนที่ไม่ค่อยเปิดม่านเพราะต้องการให้ห้องมืดเพื่อจะได้ไม่มีแสงสว่างรบกวน
ในเวลากลางวัน ควรเปิดม่านทิ้งไว้
และก่อนเข้านอนควรตรวจตราให้แน่ใจว่าว่าไม่มียุงร้ายแอบอยู่
เก็บที่สอง
เก็บขยะและเศษภาชนะ ไม่ใช่แค่แหล่งน้ำเท่านั้น
แต่ถังขยะที่มีเศษอาหารหรือขยะอยู่ด้วยก็อาจเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงได้เช่นกัน
ทุกคืนหลังรับประทานอาหารเสร็จ
ควรมัดปากถุงขยะแล้วนำไปทิ้งในถังขยะนอกบ้านหรือจุดที่จัดไว้ปิดฝาให้มิดชิด
เก็บที่สาม
เก็บน้ำ เก็บภาชนะทุกชนิดที่มีน้ำขัง เช่น ถังรองน้ำฝน ถังในห้องน้ำ
ต้องหาฝามาปิดให้มิดชิด ป้องกันไม่ให้ยุงลายวางไข่
ส่วนขารองตู้ให้เปลี่ยนมาใส่แป้งแทนน้ำ
ก็สามารถใช้กันมดได้ผลดีไม่แพ้กันและไม่เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงด้วย
หากทำตามคำแนะนำนี้จะสามารถป้องกันโรคจากยุงตัวร้ายได้ถึง 3 โรคในคราวเดียว ในอีกทางหนึ่งอย่าลืมเตรียมอุปกรณ์ต่อสู้กับยุง เช่น สเปรย์ตะไคร้ ไม้ช็อตไฟฟ้า ยาทากันยุง ฯลฯ ติดบ้านไว้ด้วย ฤดูฝนนี้จะได้สุขภาพดีกันทั้งครอบครัว และถึงแม้จะป้องกันทุกวิธีแล้ว สำคัญที่สุดสำหรับคุณพ่อคุณแม่คือ อย่าลืมหมั่นสังเกตความผิดปกติของลูกน้อย ถ้าพบสัญญาณถึงความเจ็บป่วย เช่น ไข้สูง อาเจียน ไอบ่อย ควรรีบพาไปพบคุณหมอโดยเร็ว
ที่มา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
การอ่านหนังสือนิทานให้ลูกน้อยฟัง
เป็นวิธีใช้เวลาร่วมกันในครอบครัวที่อบอุ่นและช่วยส่งเสริมพัฒนาการเด็กได้อย่างดีเยี่ยม
เป็นการพาลูกน้อยท่องโลกกว้างผ่านตัวอักษร อีกทั้งยังเป็นจุดเริ่มต้นในการปลูกฝังนิสัยรักการอ่าน
ซึ่งการอ่านจะช่วยให้เขาเข้าใจโลกและผู้คนได้ง่ายขึ้น
ประโยชน์ของการอ่านนิทานให้ลูกฟัง
การอ่านนิทานมีประโยชน์ในการช่วยพัฒนาสายสัมพันธ์อันใกล้ชิด
ถ้าคุณพ่อคุณแม่โอบกอดเขาไว้บนตักขณะอ่านไปด้วย
ลูกจะรับรู้ได้ถึงความรักความเอาใจใส่ ทำให้เขารู้สึกปลอดภัย ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของพัฒนาการทางด้านอารมณ์และการเข้าสังคม
แม้จะอยู่ในวัยที่เด็กยังไม่สามารถโต้ตอบได้ แต่ถ้อยคำต่างๆ ที่ได้ยิน
ล้วนมีส่วนช่วยพัฒนาทักษะการใช้ภาษาให้ดียิ่งขึ้นในภายหลัง
และทักษะด้านภาษาที่ดีก็เป็นพื้นฐานสำคัญที่ส่งเสริมให้เด็กๆ เรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ
ควรเริ่มอ่านนิทานให้ลูกฟังตอนไหนดี
ช่วงเวลาตั้งแต่เริ่มปฏิสนธิในครรภ์จนถึงอายุ
8 ปี
เป็นช่วงเวลาที่สมองมนุษย์เติบโตและพัฒนารวดเร็วที่สุด ดังนั้น
เราจึงเริ่มอ่านนิทานให้ลูกน้อยฟังได้ตั้งแต่ที่เขายังอยู่ในท้อง
นับตั้งแต่วินาทีแรกที่ถือกำเนิด ลูกน้อยก็รักการฟังเสียงของคุณพ่อคุณแม่
ไม่ว่าจะเป็นเสียงร้องเพลง เสียงพูดคุย หรือเสียงเล่านิทาน
ซึ่งมีงานวิจัยระบุว่ายิ่งอ่านนิทานให้ลูกน้อยฟังเร็วเท่าไร
ก็ยิ่งส่งผลดีต่อพัฒนาการของเด็กๆ เมื่อพวกเขาเติบโตขึ้น
เด็กแรกเกิดอาจยังไม่เข้าใจความหมายของสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่พูด
แต่จังหวะและโทนเสียงที่แตกต่าง ก็มีส่วนในการช่วยกระตุ้นพัฒนาการด้านการฟังซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการอยู่ร่วมกับผู้อื่น
ควรอ่านนิทานให้ลูกฟังอย่างไร
ช่วงที่ทารกยังอยู่ในครรภ์
คุณพ่อคุณแม่สามารถเลือกอ่านหนังสือหรือคอนเทนต์ตามเว็บไซต์ต่างๆ ที่สนใจได้ตามชอบ
หากคุณพ่อคุณแม่เพลิดเพลินกับสิ่งที่อ่าน
ลูกน้อยก็มีแนวโน้มที่จะสนุกไปด้วยเช่นกัน ต่อมาเมื่อลูกน้อยโตขึ้น เริ่มมีพัฒนาการด้านการมองเห็น
เขาจะสนใจหนังสือภาพที่มีสีสันสดใสลายเส้นคมชัด ซึ่งบางทีอาจหยิบจับหรือเอาเข้าปาก
จึงควรเลือกหนังสือที่แข็งแรงไม่ฉีกขาดง่าย เวลาเลือกซื้อหนังสือนิทาน
ควรเลือกเล่มที่มีฟังก์ชันสนุกๆ ซ่อนอยู่ เช่น สามารถเปิดประตูหรือหน้าต่างเพื่อดูภาพที่ซ่อนอยู่ในนั้น
และหากมีเพลงประกอบด้วยก็จะยิ่งดี เพราะเพลงเป็นสิ่งที่จดจำง่ายและทำให้เด็กๆ
สนุกมากขึ้น
เคล็ดลับเกี่ยวกับการอ่านนิทานให้ลูกน้อยฟัง
ข้อแรกคือ การฟังซ้ำๆ
จะช่วยให้เด็กมีพัฒนาการทางภาษาที่ดี ดังนั้น จึงควรเลือกนิทานที่มีคำซ้ำเยอะๆ
หรืออ่านนิทานเรื่องโปรดให้เขาฟังบ่อยๆ โดยเปลี่ยนโทนเสียงไปตามอารมณ์ของเนื้อหา
อาจจะลองดัดเสียงตามคาแรกเตอร์ตัวละครด้วย เพื่อดึงดูดความสนใจของเด็ก ข้อที่สอง ตั้งคำถามกับลูกน้อย
แม้ลูกยังเด็กเกินกว่าจะโต้ตอบกับเราได้
แต่เราก็สามารถกระตุ้นพัฒนาการของเขาด้วยคำถามง่ายๆ เพราะการโต้ตอบมีส่วนช่วยให้เด็กจดจำและเข้าใจความหมายคำศัพท์ได้ดียิ่งขึ้น
เช่น ในภาพนี้มีลูกบอลอยู่สองสี ลูกชอบสีไหนมากกว่ากัน เป็นต้น
เปิดนิทานในไอแพดให้ลูกฟังดีไหม
ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่แนะนำว่า
ไม่ควรให้เด็กดูทีวีหรือใช้เวลากับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ก่อนอายุสองขวบ
เพราะสื่อเหล่านี้มักมีฟังก์ชันที่อื่นๆ ที่ทำให้สมาธิของเด็กเบี่ยงเบนออกจากเนื้อเรื่อง
ยิ่งหากปล่อยให้ลูกดูหรืออ่านนิทานตามลำพังบ่อยๆ
เด็กก็มีแนวโน้มที่จะสนใจไอแพดมากกว่าคุณพ่อคุณแม่
ถ้าจะให้ลูกดูไอแพดควรจำกัดเวลาครั้งละไม่เกิน 10-15 นาที และควรนั่งดูกับเขาเพื่อพูดคุยระหว่างที่ดูไปด้วย
เช่น ทำเสียงตลกซ้ำๆ เลียนแบบคลิป เต้นตามท่าทางตัวละคร
เป็นต้น
สอนสะกดคำในระหว่างอ่านนิทานดีไหม
การอ่านนิทานให้ลูกน้อยฟังครั้งแรกๆ
ควรทำให้เขารู้สึกสนุกกับเรื่องราวอย่างเต็มที่ และมีความสุขที่ได้แบ่งปันช่วงเวลาดีๆ
ร่วมกับคุณพ่อคุณแม่…